จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 12



กรรมลิขิต

ตอน ชะตาชีวิตหรือชะตาฟ้าลิขิต 2

เหตุเพราะกรรมนำเกิดตามวิถี ทุกชีวีกรรมเก่าเป็นเจ้าของ
ใช่อยากเด่นอยากดังอยากหวังปอง กรรมพาพ้องพบพานเนิ่นนานเนา
ก่อนตัดสินรักชังชั่งใจก่อน โปรดโอนอ่อนอย่าตีตราว่าโฉดเขลา
มีเมตตาเอาใจเขาใส่ใจเรา คงบรรเทาใจสงบพบสุขพลัน


เสียงกาเหว่าร้องก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อพยุงตัวเองถีบชีวิตให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสทางสังคมก็ตามที แต่กลับมีบุคคลบางพวกที่มีโอกาสต้นทุนทางสังคมสูงต่างกลับมุ่งแสวงหากอบโกยด้วยความไม่รู้จักพอด้วยสภาวะจิตใจที่ถูกกิเลสความอยากครอบงำอยู่หนาเตอะ บุคคลเหล่านี้ยอมที่จะกระทำได้ทุกวีถีทางแม้จะเป็นการที่ได้มาแบบไม่เป็นธรรมหรือถูกต้องก็ตามที และบุคคลจำพวกนี้นี่เองที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริง เพราะพวกเขาต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับทรัพย์สมบัติที่พวกเขาพึงได้มา อนิจจา..มนุษย์เราหนอ..







.....แสงของอรุณในเช้าวันใหม่ทอแสงส่องสว่างเข้ามาทางหน้าต่างบวกกับเสียงร้องของเจ้ากาเหว่ายังร้องร่ำแบบไม่แคร์ต่ออาการระคายเคืองโสตประสาทของผู้ที่ได้ยิน บางรายถึงกับก่นด่าเจ้านาฬิกาปลุกชั้นดีตัวนี้อยู่บ่อยครั้ง สามเณรไผ่ศธรขยับกายพร้อมกับใช้หลังมือถูขยี้ตาตัวเองไปมาเพื่อปรับให้ชินกับสภาพของแสงภายนอก อากาศหน้าร้อนดูจะเป็นปัญหามากกับห้องปูนซีเมนต์ที่มีขนาดไม่โอ่โถงและโล่ง ทำให้เขาต้องหันไปพึ่งเจ้าพัดลมตัวเล็กช่วยผ่อนคลายอากาศที่ร้อนอบอ้าวตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว เขาค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ดูเหมือนว่าตัวจะโอนเอนไปมาเหมือนกับคนหมดเรี่ยวแรง สักพักก็ล้มตัวลงนอนแผละกลับไปยังที่เดิม ความคิดในสมองถูกดึงแว๊บเข้ามาจนเกิดเป็นมโนภาพ เป็นเวลา3ปีแล้วที่เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้จนเกิดเป็นกิจวัตรประจำวัน ภาพของสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่เคยยืนยิ้มให้เห็นอยู่ในห้องนี้ ก่อนที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปร่ำเรียนต่อผุดประกายขึ้นมา เพื่อนรักของเขาตอนนี้เส้นทางชีวิตดูจะสดใสเป็นพิเศษ เพราะท่านพระครูอุดมรัตนคุณได้ส่งเข้าไปร่ำเรียนศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นอีก โดยร่วมเดินทางไปพร้อมกับพระมหาธีระเทพพระพี่เลี้ยงที่เคยอยู่ที่วัดแห่งนี้มาก่อน สามเณรขวัญชัยเพื่อนรักของเขาจบเปรียญธรรม4ประโยคที่วัดมิ่งวรารามแห่งนี้ ( โดยทางวัดมิ่งวรารามเป็นโรงเรียนเปิดสอนบาลีและได้ส่งนักเรียนของตนเข้าสอบสนามสอบในจังหวัดขอนแก่นทุกๆปี ซึ่งในแต่ละปีวัดแห่งนี้สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมทีเดียว)

“ วัดสระเกศ “ คำนี้ยังดังกึกก้องในหูของเขา สามเณรไผ่ศธรรู้เพียงว่าเพื่อนรักของเขาถูกส่งเข้าไปศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่วัดแห่งนี้ และไม่สามารถรู้เลยว่าวัดแห่งนี้อยู่ส่วนไหนของเมืองกรุง เพราะตัวเขาเองยังไม่เคยมีโอกาสได้ย่างกรายเข้าไปสัมผัสในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเลย ในส่วนเขาตอนนี้กำลังเดินตามหลังเพื่อนรักอีกที และดูเหมือนว่าอุปสรรคเส้นทางของเขาดูจะไม่สวยหรูเหมือนกับเพื่อนรักสักเท่าไร สามเณรไผ่ศธรต้องปรับตัวเองให้ชินกับความเหงาความเดียวดายและต้องช่วยเหลือตัวเองในทุกๆอย่าง เพราะไม่มีพระพี่เลี้ยงคอยดูแลเหมือนกับเพื่อนรัก พลบค่ำมาต้องอยู่กับหนังสือตำราเรียนที่เป็นภาษาบาลีแทบทุกวัน ด้วยเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่พอสมควรการอยู่พักก็ดูจะเป็นสัดส่วนของแต่ละคน จึงทำให้เขาเกิดอาการของความเหงาเข้ามาครอบงำได้ง่าย เพื่อนสามเณรด้วยกันก็พลันเงียบงันพอพลบค่ำต่างก็เก็บตัวเงียบขลุกตัวอยู่ในห้องของใครของมันและต่างก็มีพระพี่เลี้ยงคอยกำกับดูแล เพราะภิกษุ-สามเณรเหล่านี้ต่างถูกส่งตัวเข้ามาจากต่างถิ่นด้วยกันทั้งนั้น

ป้าไหม สายใยและนันเอง นานๆทีถึงจะได้เข้ามาเยี่ยม ทุกครั้งที่มาสามเณรไผ่ศธรจะอดยิ้มไม่ได้กับความน่ารักน่าชังของหลานสาวตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังอยู่ในวัยซน ตอนนี้เขาเองก็กำลังสับสนกับตัวเอง เส้นทางของชีวิตจะเป็นไปในรูปแบบไหนดี จะต้องตกอยู่ในลักษณะแบบนี้อีกนานเท่าไร ความยากจนแร้นแค้นถูกบังคับให้เขาต้องตัดสินใจเข้ามาอยู่ในจุดนี้ ในขณะเดียวกันที่เพื่อนในวัยเดียวกันที่พ่อแม่พอจะมีกินอยู่บ้าง ส่วนมากจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมของตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด พวกเขาเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนๆมากมาย ไม่เหงาไม่เดียวดายเหมือนกับเขา และเพื่อนๆเหล่านี้ยังได้เลือกเส้นทางในการศึกษาที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันต่อไป ซึ่งตัวเขาเองก็แอบมองอยู่หลายๆครั้งที่มีโอกาสได้ออกไปยังนอกสถานที่ ต่างกันกับทางป้าไหมที่ต้องคอยหาเลี้ยงปากท้องในแต่ละวันก็ลำบากยิ่งแล้วจะหาเงินที่ไหนมาเสียให้เขาได้ร่ำเรียนเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ยิ่งช่วงนี้สุขภาพป้าไหมเองก็ดูจะเจ็บออดๆแอดๆอยู่เรื่อยๆ คงเป็นเพราะอายุมากขึ้นและการตรากตรำทำงานหนักทุกวันนั่นเอง ลำพังเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ดูจะขัดสนอยู่แล้ว แล้วไหนจะต้องเจียดมาเป็นค่าหมอค่าหยูกยาอีก “ เฮ้ออ..” สามเณรไผ่ศธรถอนหายใจออกแผ่วเบาพร้อมกับยกท่อนแขนก่ายหน้าผากตัวเอง ส่วนวีระจักรเพื่อนรักอีกคนตอนนี้ได้ข่าวว่าลงไปทำงานที่กรุงเทพแล้ว เพราะหลังจากที่เขาถูกส่งตัวเข้ามาที่วัดมิ่งวรารามได้เพียง5เดือนเศษ เพื่อนรักของเขาก็ได้ขอท่านพระครูฯลาสิกขาสู่เพศฆราวาส โดยให้เหตุผลเพียงสั้นๆว่า อยากไปทำงาน แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าเพื่อนรักคนนี้ก็เกิดอาการเดียวกันกับเขาในตอนนี้ก็คือความเหงากับการไม่มีเพื่อนเข้าครอบงำสภาวะจิตใจนั่นเอง และมีสิ่งหนึ่งที่เขาและเพื่อนรักคนนี้จะลืมไม่ได้ก็คือ “ คำมั่นคำสัญญาที่จะไม่ทอดทิ้งกันจะคอยช่วยเหลือกันมีทุกข์ร่วมทุกข์มีสุขร่วมสุข หรือแม้แต่ที่ต้องเจอปัญหาอันเลวร้ายพวกเขาทั้งสองจะต้องช่วยเหลือกันถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามที “ นี่คือคำสัญญามั่นที่พวกเขาทั้งสองได้ให้ไว้ต่อกันในพระอุโบสถหลังใหญ่ที่วัดอุดมคีรีเขต บ้านหนองนางาม ก่อนที่ตัวเขาเองจะถูกส่งตัวเข้ามาที่ตัวอำเภอพล






สามเณรไผ่ศธรปล่อยให้ความนึกคิดล่องลอยไปกับอารมณ์เหงาๆในยามเช้าพลันก็ต้องดึงกลับให้คงที่ เขาขยับกายลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟภายในห้อง และก็ทำภารกิจประจำวันของตัวเอง การเดินบิณฑบาตในตัวเมืองต้องออกแต่เช้าตรู่ เส้นทางที่ต้องเดินทุกวันก็ดูเหมือนจะไม่ไกลจนเกินไปนักสำหรับเขา ออกจากวัดที่อยู่เยื้องกับ บขส. มุ่งตรงถึงแยกหอนาฬิกาแล้วก็เดินขนานมาตามเส้นทางรถไฟแล้วก็วกกลับเข้าวัด ระยะทางก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกินสองกิโลเมตร ส่วนในตอนเพลนั้นก็ต้องคอยไปรับปิ่นโตจากโยมแม่อุปัฏฐาก (ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคิวรถ บขส. มากนัก)



//////////////////////////////////////////////////////////////////



(อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร)








...ณ โรงเรียนมัธยมป่าติ้ววิทยาคาร…


“ เหว๋ย…เหว๋ย… เร็วๆแนสองคนนั่น คาแต่ย่างคุยกันอ้อยอิ่งอยู่หั่นหล่ะ เร็วๆมันสิกลับเข้าโรงเรียนบ่ทัน…” เสียงนักเรียนกลุ่มที่อยู่ข้างหน้าร้องดังขึ้น บอกให้เพื่อนชายหญิงอีกสองคนที่เดินตามหลังมารีบเดินให้ทันกลุ่มของตน ทำให้ดรุณีร่างเล็กวัย15ต้องหยุดชะงัก ใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้มที่เอียงอายเล็กน้อย มองเห็นฟันมีเขี้ยวเล็กๆที่แซมอยู่ผุดประกายขึ้นมา พร้อมกับเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกลุ่มเพื่อนที่อยู่ข้างหน้า…..

นิยาย กรรมลิขิต 11



...คำนำ....
..บทละครต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชักนำไปในทางที่ไม่สมควรหรือเสื่อมเสีย และไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง เป็นจินตนาการที่เกิดจากตัวคนเขียนเอง หากสิ่งใดไม่สมควรผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จุดประสงค์ของผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านเกิดความบันเทิงเท่านั้นครับ

กรรมลิขิต

ตอน เส้นทางแห่งวิบาก 2




เวลา 23.45 น .

เขตอำเภอ ลำลูกกา

" ....เปรี๊ยง.....เปรี๊ยงงง....." เสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันสองนัดซ้อน ถัดจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีก็เกิดฝุ่นคลุ้งตลบเมื่อรถเก๋งคันงามยี่ห้อดังจากญี่ปุ่นพุ่งชนกระแทกเข้ากับกลุ่มเสาหลักข้างทางหลวงแบบจังเบอร์เพราะเสียการทรงตัว คล้ายกับว่าไร้การควบคุมจากเจ้าของที่อยู่ภายใน เจ้ารถเก๋งคันงามจอดนิ่งสนิทหลังจากที่ส่วนหน้าเก๋งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างถนนเหมือนกับว่าเป็นระบบเบรคชั้นเยี่ยมจนกระจังหน้าบุบเข้ามาเกือบจะถึงตัวคนขับ เจ้าของที่อยู่ภายในตอนนี้ไร้ซึ่งลมหายใจตั้งแต่เสียงปืนดังขึ้นไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้


"... แป๊นน...แป่นนน..แปร๊นนน.." แค่เพียงอึดใจเสียงเจ้ามอเตอร์ไซด์คันใหญ่เชื้อสายเดียวกันกับรถเก๋งก็พุ่งทะยานออกไปจากจุดนั้นพร้อมกับร่างของชายในชุดดำ2คนที่สวมหมวกกันน๊อคปิดอำพรางใบหน้า มีรอยยิ้มเหี้ยมเกิดขึ้นเล็กน้อยกับชายที่นั่งอยู่ด้านหลัง เมื่อมองเห็นว่างานที่ได้รับมอบหมายมาเสร็จลงได้แบบง่ายดายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และนี่มันคงสร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขต จังหวัดปทุมธานีในอีกไม่นานต่อจากนี้ไป คงจะเป็นคดีสะเทือนขวัญและถูกกล่าวถึงตามหน้าจอทีวีและหนังสือพิมพ์เป็นแน่แท้









......หนึ่งชั่วโมงต่อมา......

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดเคียงข้างรถเก๋งคันหรูในปั๊มน้ำมันย่านรังสิต ชายหนุ่มในชุดดำก้าวลงจากรถพร้อมกับพยักหน้าให้สัญญาณกับคู่หูที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ หลังจากนั้นเจ้า KR 150 CC. ก็พุ่งทะยานออกไปแบบรู้หน้าที่มุ่งตรงเข้าไปยังเขตดอนเมืองต่อไป ใบหน้าที่เฉยชาของชายหนุ่มในชุดดำเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อหมวกกันน๊อคถูกเปิดออก และรอยยิ้มกับเปิดกว้างขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นบุคคลภายในรถเก๋งคันหรูที่ติดเครื่องรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ...

" อ้ายรุจมาซ้าไป15นาที ปล่อยให่เดือนมานั่งถ่าอยู่ตั้งโดน " เสียงผู้ที่อยู่ในรถเก๋งต่อว่าแสดงสีหน้างอหลังจากที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่ง

" แหม..เดือนกะดายเนาะ... อ้ายแค่มาซ้าแค่บ่กี่นาทีเองเด๊ะหล่ะ แค่นี้กะเคียดให่อ้ายแล้วติหนิ ฮึ๊..งึดหลายน้อคนเอ๊ยย.. กะมื้อนี้แก่นมันขับซ้าเองเนาะ..อ้ายต้องไถ่โทษแล้วมั้งงานหนิแหม่ะ..อึ๊หึ๊… " ชายหนุ่มอธิบายกับเธอพร้อมกับจูบเข้าไปที่หน้าผากอันกลมมนได้รูป ทำให้ใบหน้าที่บึ้งอยู่เล็กน้อยก่อนหน้านี้เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มแทน

" ตลอดหล่ะอ้ายรุจหน่ะ โยนควมผิดให่อ้ายแก่นเพินตลอดเลย บ่เคยยอมรับเจ้าของ " เธอยังมีอารมณ์แสนงอนอยู่บ้างแต่เธอก็เข้าใจเขาดี แม้คำพูดจะออกมาในลักษณะนี้แต่ส่วนลึกภายในของเธอแล้วกลับรักเขามาก และเข้าใจดีว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาต้องผ่านกับงานอะไรมา สิ่งที่เธอจะต้องทำในขณะนี้ก็คือพาเขากลับไปยังคอนโดหรูที่ชายหนุ่มคนรักซื้อไว้อยู่ในย่านมีนบุรีและตัวเธอเองคือสิ่งที่สำคัญมากที่ช่วยให้เขาผ่อนคลายได้มากขึ้น

..รถเก๋ง BMW สีดำวิ่งออกจากปั๊มแห่งนั้นในเวลาต่อมา ชายหนุ่มปรับเอนเบาะและข่มเปลือกตาลงเล็กน้อยหลังจากที่ตัวเขาต้องผ่านงานอันตึงเครียดมา เขาปล่อยให้แฟนสาวทำหน้าที่คนขับแทน เธอคือคนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด แม้ว่าจะดึกสักแค่ไหนเธอก็ยังทำหน้าที่ของเธอได้แบบไม่ขาดตกบกพร่องแม้ว่าบางครั้งเธอจะเอ่ยปากในเชิงตัดพ้อเขาอยู่เรื่อยๆ แต่มันก็เป็นแค่อารมณ์หงุดหงิดภายนอกเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วเธอกลับรักเขาและพร้อมมอบกายถวายชีวิตให้กับเขาเลยที่เดียว วิศรุจเจอเธอในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเขตรามอินทรา หลังจากที่เขาเข้าไปดูลาดเลากับงานที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความมุ่งมั่นแห่งการเป็นนักรักชั้นเลิศ ชายหนุ่มก็สามารถดึงเธอเข้ามาครอบครองได้ในเวลาที่ไม่นานนัก วิศรุจมอบความรักและปรนเปรอเธอทุกอย่างจนทำให้เธอมอบกายถวายชีวิตให้กับเขาแม้เธอจะรู้ดีว่าเส้นทางที่วิศรุจกำลังเดินอยู่นี้มันเลวร้ายมืดมนขนาดไหน แต่เมื่อความรักความสิเหน่หาเข้าครอบงำแล้ว ทุกๆอย่างก็ดูจะไร้ค่าสำหรับมนุษย์ปุถุชนผู้มีจิตอันต่ำเยี่ยงนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเดือนนภา สาวสวยวัย22จากจังหวัดอุบลราชธานีคนนี้…

วิศรุจ หนุ่มลูกอีสานแห่งเมืองตำน้ำกินดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความแห้งแล้งในอดีตกาล ชีวิตเส้นทางแห่งความยากแค้นแสนเข็ญเป็นจุดกำเนิดให้ผันตัวเองก้าวย่างเข้ามาในเส้นทางที่ดำมืดจนยากเกินที่ตัวเขาจะถอนกลับ ชีวิตของเขาเริ่มต้นเหมือนกับเด็กลูกอีสานทั่วไป ต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนสู้ทำงานเพื่อสร้างตัวเองให้สู่ความมั่นคงแห่งอนาคตของตัวเอง “ ชลบุรี “ คือจังหวัดของการเริ่มต้นที่เขาตัดสินใจเหยียบย่างเพื่อจะก่อร่างสร้างตัวเพราะจังหวัดแห่งนี้เป็นเมืองท่าที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อยู่มากมาย ด้วยนิสัยแห่งการรักสนุกชอบท่องเที่ยวแห่งอิสระเสรีทำให้ชีวิตเขาเองต้องผกผันมาสู่เส้นทางแห่งนักฆ่าหรือที่เรียกกันว่า “ มือปืน” ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดชลบุรีดึงเขาเข้ามาอยู่ในสังกัดหลังจากที่เห็นเขาสร้างวีรกรรมในผับแห่งหนึ่งย่านบางแสน ด้วยบุคลิคที่เงียบและเคร่งขรึมภายนอกบวกกับความเลือดเย็นภายในมันทำให้เขาต้องตาต้องใจผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นั้นเป็นอย่างมาก เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่จุดนี้ถึง2ปี ก็ได้รับการติดต่อมาจากทางกรุงเทพฯให้เข้าไปช่วยงาน โดยเขารู้เพียงคร่าวๆในตอนนั้นว่าผู้ที่อยู่ทางกรุงเทพฯเป็นเพื่อนกันกับนายที่อยู่ชลบุรีนั่นเอง วิศรุจดึงตัวเพื่อนสนิทเข้ามาร่วมงานกับเขาอีกคน ปฐมพงษ์ หรือแก่น เด็กหนุ่มจากเมืองแก่นขอน ผู้ที่เข้ามาเป็นคู่หูของเขาและทำหน้าที่เป็นคนขับขี่ที่พร้อมจะพาเขาไปได้ทุกที่ทุกเส้นทางในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวมไปถึงเขตรอบนอก รู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มจะดึงตัวเขาเข้ามารับหน้าที่ในจุดนี้ เพราะถ้าหากไม่แน่จริงพวกเขาก็คงจะจบเห่ลงแบบง่ายๆและต้องเขาไปใช้วิบากแห่งกรรมที่เขาได้กระทำลงไปต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแบบเลือดเย็น…



ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ

ณรงค์ฤทธิ์ เสี่ยหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลกำลังนั่งดื่มอยู่ในห้องส่วนตัวโดยมีหญิงสาวนั่งขนาบข้างอยู่สองฝั่ง เสียงเธอหัวเราะระริกด้วยความชื่นมื่นพร้อมกับปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองแบบเต็มที่ เพราะหนุ่มผู้นี้คือผู้มีพระคุณแก่พวกเธอและพวกเธอเองก็พร้อมที่จะสนองความพึงพอใจให้กับชายหนุ่มผู้นี้แบบไม่มีข้อยกเว้น อรและดาหลา ดาวเด่นแห่งไนท์คลับแห่งนี้พวกเธอคือจุดดึงดูดเม็ดเงินจากนักเที่ยวยามราตรีได้มากที่สุด ด้วยหุ่นที่อวบอัดและทรวดทรงที่ใครเห็นแล้วต้องอ้าปากค้างพาลนึกเป็นห่วงหนักอกหนักใจแทนพวกเธอเป็นยิ่งนัก เพราะมันทะลักล้นออกมาจนที่จะอดเป็นห่วงเอาเสียไม่ได้นั่นเอง


“ ให้น้องเป็นฮัก อ้ายสิขอเป็นแฮง อ้ายเป็นคนหาเจ้าคอยเก็บแบ๊งค์ สร้างฝันด้วยแรงที่อุ้มด้วยฮัก..เห็นดีนำบ่ หรือมีแล้วบ้อ… “

เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เสี่ยหนุ่มต้องหยุดกับกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้าทันที

“ ว่าได๋รุจ … ราบรื่นดีบ่ “

“ ดีแล้ว ….โตบ่เคยเฮ็ดให่เฮาผิดหวังอยู่แล้ว.. “

“ อยู่ไสตอนนนี้ “

“ เอ้อ..ดีแล้ว..พักตามสบาย.. เดี๋ยวมื้ออื่นเฮาโอนเข่าบัญชีให่ดอกเว๊ย..เดี๋ยวสิมีใบสั่งไปหาอีกดอก เตรียมควมพ้อมไว้ตลอดแนหล่ะ ”

“ เอ้อ …ดีดี แค่นี้หล่ะ.. “

เสียงสนทนาสิ้นสุดลงทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากณรงค์ฤทธิ์อีกครั้ง เล่นเอาอรและดาหลาพลันยิ้มเอาใจขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าเสี่ยของพวกเธอสุขใจยิ่งนักกับงานที่มอบผ่านไปให้ลูกน้องจัดการมันผ่านฉลุย











“ สายอมรวสันต์ คอนโดมิเนียม “

รถเก๋ง BMW สีดำคันงามขับเข้าไปจอดอยู่ลานจอดข้างล่าง เดือนนภา เขย่าร่างของแฟนหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์แห่งความหลับใหล

“ อ้ายรุจ ..ตื่นได้แล้ว..ฮอดห้องแล้ว แม่นหยั๋งบ่พอคราวเผลอหลับแล้ว เมื่อกี้เดือนยังเห็นอ้ายโทรไปรายงานเสี่ยเพินอยู่ “ เธอเขย่าต้นแขนเขาซ้ำหลังจากที่เขายังนิ่ง ชายหนุ่มขยับกายงัวเงียตื่นจ้องมองหน้าเธอพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย เขารู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ได้อยู่กับเธอ

“ เอ้อ..อ้ายรุจ.. งานคืนนี้เสี่ยเพินออกใบสั่งให่อ้ายเฮ็ดงานทางได๋ “ เธอถามพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่ม เขายิ้มนิดๆก่อนจะตอบเธอออกไป

“ ลูกค้าระดับกลางของเสี่ยเพินหน่ะเดือน ..เสี่ยบอกว่ามันกำลังสิตีโตออกห่างไปรับออเดอร์ยาจากรายอื่น มันว่าทางอื่นให่ถืกกว่า เสี่ยเลยสั่งเก็บเป็นการสั่งสอน ป๊ะขึ่นห้องได้แล้ว อ้ายเมื่อยเต็มทีแล้ว อยากพักผ่อน” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับชวน เขาไม่มีความลับอะไรสำหรับเดือนนภา และเขาก็เชื่อว่าเธอจะไม่มีวันทรยศเขาเป็นอันขาด

“ ไปติ๊หล่ะ..เดี๋ยวขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน เดี๋ยวเดือนสินวดให่เองอ้ายสิได้ผ่อนคลาย “ เธอบอกยิ้มหวานสายตาทอเป็นประกายดึงมือชายหนุ่มให้ถลาตามขึ้นห้องทันที


เช้าวันต่อมา 09.15น. สถานีตำรวจ หัวหมาก

“ พี่หน่อยกับพี่ลุ่มครับ ผู้กำกับเพินเอิ้นให่เข่าไปหาครับ ..เดี๋ยวนี้เลย..”

เสียงร้อยเวรตะโกนบอกพร้อมกับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดมาแต่ไกล ทำให้ ร้อยตำรวจตรีหญิงกัญญา และ ร้อยตำรวจตรี ประยูร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนต้องหันขวับมองหน้ากันทันใด พร้อมกับฉุกคิดว่างานเข้าแต่เช้าอีกแล้ว……



เช้าวันต่อมา 09.15น. สถานีตำรวจ หัวหมาก


“ พี่หน่อยกับพี่ลุ่มครับ ผู้กำกับเพินเอิ้นให่เข่าไปหาครับ ..เดี๋ยวนี้เลย..” เสียงร้อยเวรตะโกนบอกพร้อมกับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดมาแต่ไกล ทำให้ ร้อยตำรวจตรีหญิงกัญญา และ ร้อยตำรวจตรี ประยูร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนต้องหันขวับมองหน้ากันทันใด พร้อมกับฉุกคิดว่างานเข้าแต่เช้าอีกแล้ว……

" เออนี่พวกคุณ..ผมมีงานให้คุณทั้งสองรับไปทำหน่อย " เสียงของ พ.ต.ต. ปรีชา สังควรรณาการชัย หรือผู้กำกับต้องแล่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้เรียกกันในตอนที่ผู้กำกับคนนี้ไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนา มาดขรึมตามสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว มีให้เห็นในทันทีเมื่อร้อยตำรวจตรีหญิงกัญญาและร้อยตำรวจตรีประยูรเข้าไปถึงภายในห้องที่ทำงานส่วนตัวของเขา

" เอ่อ..ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้พวกเราทำค่ะท่านฯ " ตำรวจหญิงคนสวยที่ปนไปด้วยมาดเท่ห์นัยๆแห่งเมืองดอกบัวเอ่ยถามกลับ

" คือว่าผมได้รับหนังสือมาจากทางหลายหน่วยงานหลายสถานีประสานขอความร่วมมือมายังสถานีเราว่า ในเขตพื้นที่ที่เรารับผิดชอบอยู่นี้อาจจะมีผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาจากพื้นที่รอบนอกหนีเข้ามากบดานอยู่ในเขตพื้นที่ของเรา และอีกอย่างทางผู้ใหญ่ท่านกำชับสั่งการลงมาให้เข้มงวดกับสถานบริการเริงรมณ์ยามค่ำคืนที่มักจะเปิดเกินเวลาที่กฏหมายกำหนด สถานบริการยามค่ำคืนเหล่านี้มักจะมีธุรกิจลับๆที่ผิดกฏหมายแอบแฝงอยู่ ผมอยากให้คุณทั้งสองเข้าไปหาข่าวโดยการลงพื้นที่หน่อยก็ดี เพราะช่วงนี้ในเขตพื้นที่ที่เรารับผิดชอบอยู่มันมีคดีอาชญากรรมที่พัวพันไปถึงยาเสพติดเกิดขึ้นถี่เหลือเกิน คุณจะดึงคนไหนเข้าไปร่วมก็ได้แค่เขียนรายงานส่งเรื่องเข้ามาที่ผม เดี๋ยวผมจะเซ็นต์อนุมัติให้เอง " ผู้กำกับตงฉินกล่าวออกมาพร้อมกับแสดงสีหน้าเคร่งนิดหน่อย ปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานถูกจับขึ้นมาเคาะที่หัวเล่นอยู่เป็นระยะๆ นี่คือสไตล์ของผู้กับกับตงฉินที่กระทำอยู่บ่อยๆจนเกิดเป็นนิสัยเมื่อมีเรื่องให้เข้ามาขบคิด เพราะเมื่อวานกับวันนี้เขาได้รับหนังสือจากสถานีตำรวจรอบนอกส่งมาขอความร่วมมืออีกทั้งยังได้รับโทรศัพท์สายตรงจากผู้กำกับสถานีแห่งนั้นด้วย

" ครับท่านฯ เดี๋ยวพวกเราจะเร่งลงพื้นที่และหาข่าวให้ได้เร็วที่สุดครับท่าน " ลุ่ม หรือฉายา ลุ่มดอนไข่ ตำรวจฝีมือเยี่ยมหนุ่มไฟแรงจากอำเภอบึงกาฬที่พึ่งเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนของประชาชนได้เพียงสองปีกล่าวให้ความมั่นใจกับผู้บังคับบัญชาของตน มีรอยยิ้มวาบเกิดขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย เพราะการลงพื้นที่เข้าไปหาข่าวมันทำให้เกิดความตื่นเต้นความเร้าใจอยู่ลึกๆสำหรับตำรวจหนุ่มไฟแรงคนนี้



"สายอมรวสันต์ คอนโดมิเนียม "








ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากภารกิจเมื่อคืนบวกกับเกมแห่งความรักที่เดือนนภามอบให้ ทำให้สภาพชายหนุ่มตอนนี้ต้องหลับไหลแบบคนไร้สติ แม้เดือนนภาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วแต่มันก็ไม่ทำให้เขาตื่นจากความหลับใหลได้เลยถ้าไม่มีเสียงนี้ดังขึ้นเสียก่อน

" ..ก๊อก....ก๊อก...ก๊อก.." เสียงประตูห้องดังขึ้น3ครั้งติดต่อกัน มันทำให้ชายหนุ่มต้องสะดุ้งตื่น ความระแวดระวังสติสัมปชัญญะถูกดึงกลับเข้ามาอีกครั้ง สายตาของเขามองหาเดือนนภาคนรักทันที เขาไม่เห็นเธอแต่คาดเดาได้ว่าเธออยู่ในห้องน้ำ เมื่อได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวพร้อมกับเสียงเธอคลอเพลงแผ่วเบาอย่างอารมณ์ดี

" ..ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก.." เสียงประตูห้องถูกเคาะซ้ำอีกชุดเมื่อไร้การตอบสนองจากผู้ที่อยู่ภายใน ชายหนุ่มคว้าผ้าขนหนูขึ้นมานุ่งพร้อมกับนึกในใจว่าทำไมต้องเคาะกัน3ครั้งทุกทีไปหรื่อนี่เป็นการเคาะระดับสากลกันไปแล้ว ลิ้นชักถูกเปิดออกพร้อมกับหยิบอาวุธคู่กาย เขาเดินตรงไปที่ประตูอย่างแผ่วเบา สายตาถูกแนบเข้าไปตรงกระจกที่ตัวเล็ก(ที่ติดไว้ส่องดูบุคคลภายนอก) สีหน้าปนความสงสัยออกมาเล็กน้อยเมื่อเจอกับบุคคลที่อยู่ภายนอก

" ไผ๋ว๊ะ..สิเป็นหมู่เดือนหล่ะมั้ง " เขาเปิดประตูออกไปและมันสร้างความตกใจให้กับผู้อยู่ภายนอกเล็กน้อย ดูเธอสะดุ้งพร้อมกับยิ้มเขิลเมื่อเห็นสภาพการแต่งตัวของเขา

" เอ่อ...ขอโทษค่ะพี่ ..หนูคงจะเคาะห้องผิด " หญิงสาวในชุดนักศึกษารัดติ้วกล่าวตะกุกตะกักพร้อมกับก้มหลบสายตาและเดินออกจากจุดนั้นทันที วิศรุจจ้องมองตามหลังเธอพร้อมกับทอประกายเปื้อนยิ้มนิดๆ ความสวยและหุ่นของเธอเมื่อเทียบชั้นกับเดือนนภาแล้วต้องบอกว่าเธอคนนี้ก็ไม่ได้เป็นรองเลย เขาปิดประตูและเดินกลับเอาอาวุธคู่กายเข้าเก็บประจำยังที่เดิม

" อ้าว..อ้ายรุจ..คือตื่นแต่เซ้าแท้ คือบ่นอนพัก เดือนไปมหาลัยกลับมาเดือนสิมาปลุกดอก มื้อนี้มีเรียนบ่โดนดอกจ้า " เดือนนภาออกมาในชุดนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอก เม็ดน้ำที่เกาะตามร่างกายของเธอมันช่างชวนให้น่ามองน่าหลงใหลยิ่งนัก เธอยิ้มหวานให้เขาก่อนที่จะหันไปให้ความสนใจกับตัวเธอเองต่อ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนของเธอ ระยะนี้ส่วนมากจะเป็นการร่วมกิจกรรมเสียส่วนมากซึ่งใช้เวลาไม่เยอะ เธอจึงมีเวลาให้กับเขามากขึ้น

" ได้จ๊ะเดือน ...กลับมากะค่อยมาปลุกอ้ายกะแล้วกัน ออกไปอย่าลืมล็อคห้องให้อ้ายนำแนหล่ะ " ชายหนุ่มบอกแล้วล้มตัวลงที่นอนพร้อมกับปิดเปลือกตาลง ภาพหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อครู่นี้ผุดขึ้นมาล่องลอยอยู่ในสมอง ไม่นานนักเขาก็หลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย




“ ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ “ เวลา 21.50 น.


ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ผู้คนนักท่องเที่ยวยามราตรีพลุกพล่าน เนื่องจากเป็นคืนวันเสาร์ วิศรุจ และ ปฐมพงษ์หรือแก่น คู่หูคนสนิทออกมาจากคอนโดด้วย BMW คันเก่งของเขาโดยที่ปฐมพงษ์นั้นขับมอเตอร์ไซค์คู่ชีพมาจอดไว้ลานจอดข้างล่างของคอนโด ส่วนเดือนนภานั้นเธอออกเดินทางไปทำธุระต่างจังหวัดกับเพื่อนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ....และใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก BMW คันงามก็เข้าเทียบจอดยังลานบริเวณภายนอก

“ หวัดดีอ้ายรุจ…..เสี่ยเพินนั่งถ่าอยู่ข้างในครับ ผมเตรียมของโปรดไว้ถ่าอ้ายแล้ว “ เสียงตั้ม เมืองศรี ดังขึ้นเดินเข้ามาหาเขาเมื่อมองเห็นบีเอ็มคันงามเลี้ยวเข้ามาตั้งแต่ทีแรก

“ อื้อ..ขอบใจว๊ะตั้ม..น้องหล่าฮู้จักใจอ้ายดีแท้ๆว๊ะ “ ชายหนุ่มบอกยิ้มๆพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับแก่นคู่หูคนสนิทให้ตามเข้าไปด้วย

“ เสี่ยณรงค์ฤทธิ์ “ นั่งรออยู่ภายในห้องส่วนตัวอย่างใจเย็น สองข้างถูกประกบไปด้วยสาวสวยคู่เดิมคืออรและดาหลา สองสาวที่เสี่ยหนุ่มไว้เนื้อเชื่อใจและทำหน้าที่เลี้ยงดูปูเสื่อให้กับพวกเธอเป็นอย่างดี รอยยิ้มของเธอถูกส่งมาทักทายหลังจากที่วิศรุจและปฐมพงษ์เข้ามายังในห้อง

“ อ้าว..รุจ..แก่น..นั่งๆ เฮาถ่าพวกโตอยู่ ..อรขยับไปนั่งนำรุจไป๋ “ เสียงของเสี่ยหนุ่มกล่าวทักทายเขาพร้อมกับสั่งให้สาวร่างทรงโตที่นั่งเบียดอยู่ด้านขวามือขยับไปนั่งกับชายหนุ่ม

“ หวัดดีครับเสี่ย..บ่เป็นหยั๋งดอกครับให้น้องอรนั่งอยู่กับเสี่ยนั่นหล่ะครับดีแล้ว
“ วิศรุจบอกพร้อมยิ้มเล็กน้อยแม้เขาจะไม่ใช่คนที่มีใบหน้าคมเข้มแต่รอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาก็สะดุดสายตาของสาวๆได้ดีทีเดียวมันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเลือดเย็นอยู่ภายใน

“ เอ๊า…กินๆกันก่อน เดี๋ยวค่อยคุยงานของเฮาทีหลัง “ เสี่ยหนุ่มบอกหลังจากที่อาหารชุดนี้ถูกยกมาวางรอไว้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว วันนี้วิศรุจถูกทางเสี่ยหนุ่มโทรตามให้เข้ามาเจอที่นี่ เพื่อมอบหมายงานใหม่ให้นั่นก็คือ “ ปิดบัญชี “ ลูกค้าเอเย่นต์ระดับกลางๆอีกรายนึง ที่คิดทำตัวออกห่างหันไปทำการค้ากับผู้ค้ารายใหม่ นี่คือประกาศิตที่เสี่ยหนุ่มจะยัดเยียดมอบให้กับเอเย่นต์รายนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ณรงค์ฤทธิ์ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งฟอกเงิน ส่วนแหล่งเก็บซ่อนสิ่งที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงของสังคมถูกเก็บไว้ในคฤหาสน์หลังงามในย่านลาดพร้าวโดยมีตั้ม เมืองศรี และดุ่ย แดนผาขาว เป็นผู้ควบคุมดูแลทำการค้าขายกับเอเย่นต์ทั่วไป ของทั้งหมดนี้ถูกลำเลียงนำเข้ามาตามตะเข็บชายแดนในราคาที่ไม่แพงนักแต่เมื่อมันเข้ามาถึงยังจุดนี้แล้ว มันกลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวทีเดียวเชียว……


อาหารบนโต๊ะถูกจัดการไปพร้อมกับการบอกรายละเอียดงานอย่างคร่าวๆโดยที่เสี่ยหนุ่มมอบรูปถ่ายมาให้กับชายหนุ่ม2แผ่น (นี่คือเป้าหมายแห่งการสังหาร)

“ ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก..” เสียงประตูห้องดังขึ้นทำให้วิศรุจต้องนั่งอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปดูที่ประตู “ เป็นหยั๋งคือต้องเคาะกัน3เทือตลอดว๊ะ “ พลางคิดไปถึงใบหน้าที่สวยได้รูปของหญิงสาวในวันนั้น ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาและก็เป็นร่างของดุ่ย แดนผาขาว ที่ทำหน้าสีหน้าเครียดเล็กน้อยเดินตรงเข้ามาหานายใหญ่เขา

“ แม่นหยั๋งว๊ะดุ่ย..มีอีหยั๋ง “ เสี่ยหนุ่มถามหนุ่มมาดเซอร์ผู้เปรียบเสมือนมือซ้ายเขา

“ ข้างนอกครับเสี่ย มีลูกค้าโต๊ะนึงออกอาการกวนๆแนครับ เขม่นกับเด็กในร้านเฮา “ ดุ่ย แดนผาขาว รายงานเสี่ยหนุ่มด้วยอาการนอบน้อม

“ มาจั๊กคนว๊ะ “

“ มา4คนครับ สามคนนั่นเป็นผู้ซายแต่อีกผู้นึงคือสิแม่นผู้หญิง แต่ว่ามาดออกห้าวๆแต่งโตแบบผู้ซาย ผมเบิ่งแล้วกลุ่มนี้คล้ายกับตำรวจครับเสี่ย เห็นน้องแอ๋วกับน้องยาบอกว่าเขาพยายามถามรายละเอียดเกี่ยวกับร้าน “

“ บ่เป็นหยั๋ง..บอกเด็กของเฮาใจเย็นๆอย่าใจฮ้อน เบิ่งไปเรื่อยๆ “

“ ครับผม “

“ เดี๋ยวบอกตั้มไปเบิ่งนำแน ช่วงนี้ฮู้สึกว่าสิมีลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆและสิมักกวนเด็กเฮา “

“ ครับเสี่ย “

การสนทนาจบลงแบบรวดเร็วและได้ใจความดุ่ย แดนผาขาวกลับออกไปทำหน้าที่ตามที่นายใหญ่สั่งในทันที ความอดทนต่อการยั่วยุน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องกระทำในเวลานี้

วิศรุจ และ ปฐมพงษ์ ขอตัวกลับหลังจากที่ดุ่ย แดนผาขาวออกจากห้องไปได้ไม่นานนัก เมื่อเขาออกมาจากภายในห้องของเสี่ยหนุ่มมา ก็ต้องผ่านบริเวณห้องโถงที่ถูกตั้งไปด้วยโต๊ะอยู่เป็นกลุ่มๆ ตอนนี้มีนักเที่ยวนั่งอยู่หนาตาทีเดียว สายตาของเขาจับไปยังกลุ่มที่ดุ่ยเข้าไปรายงานกับเสี่ยณรงค์ฤทธิ์เมื่อครู่นี้ ด้วยสัณชาตญานของเขาสามารถรับรู้ได้ว่านี่คือตำรวจนอกเครื่องแบบแน่นอน รอยยิ้มที่แฝงด้วยความเยือกเย็นถูกส่งไปทักทายในทันทีเมื่อสายตาเขาปะทะเข้ากับสาวมาดเท่ห์ในกลุ่มนั้นที่นั่งมองตั้งแต่เขาเดินออกมาจากภายในห้องของเสี่ยหนุ่ม…..

นิยาย กรรมลิขิต 10



กรรมลิขิต

ตอน เส้นทางแห่งวิบาก 1


วิถีเส้นทางเดินของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป ทุกๆสิ่งอย่างย่อมขึ้นอยู่การตัดสินใจในการที่จะเลือกทางเดินของเรา “ ใจ “ คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัวแปรในการเลือก ผลการประกอบทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่ที่สภาวะของจิตใจ ความอยาก กิเลส ตัณหา เป็นตัวกระตุ้นให้เราต้องโหยหาและจำยอมรับมันเข้ามา แม้จะรู้ว่าผิดแต่เมื่อสภาวะทางจิตใจอ่อนไหวบวกกับความอ่อนแอก็ย่อมถูกชักนำให้เขวได้ ..ผลประกอบในทางที่เป็นกุศลกรรมนั้นอย่างแรกเราต้องปรับเปลี่ยนและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจเป็นอันดับแรกก่อน เมื่อสภาพจิตใจเข้มแข็งก็เท่ากับสร้างภูมิคุ้มกันให้เป็นอย่างดี …. คุณผู้อ่านทุกๆท่าน มาเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจไปพร้อมๆกับผู้เขียนกันดีกว่าครับ……


...เสียงไก่ขันส่ง-รับ กันต่อเนื่อง คล้ายกับว่านักวิ่งลมกรดทีมชาติไทยที่คอยวิ่งผลัดส่งไม้กันเป็นทอดๆ ในอีกไม่ช้าไม่นานแสงอรุณยามรุ่งสางก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นแสงสีทองเหลืองอร่าม และมันยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เช่นนี้เป็นประจำในทุกเช้า พร้อมกับปลุกสรรพสิ่งรอบกายให้ตื่นจากความหลับไหลเพื่อทำหน้าที่แห่งกลไกหน้าที่ที่รับมอบหมายให้ก้าวสู่เส้นทางเดินของแต่ละชีวิตที่แตกต่างกันออกไป นี่คือบทบาทชีวิตของแต่ละคนที่ต้องแสดงให้จบขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกบทบาทและการแสดงไปในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง ความหนาวเหน็บยามเช้าดูจะมีมากเป็นสองเท่ายังผลให้สามเณรตัวน้อยต้องขดตัวเข้ากับจีวรผืนบางที่ใช้เป็นเครื่องประทังความหนาวได้เปลาะหนึ่ง ปีนี้รู้สึกว่าจะหนาวเย็นเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำบวกกับพื้นที่ของวัดอุดมคีรีเขตอยู่ไม่ห่างจากเทือกเขาภูเม็ง....เลยทำให้ความหนาวดูจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เสียงไก่ขันยังดังอยู่เป็นระยะๆทำให้สามเณรตัวน้อยต้องพยุงตัวขึ้นนั่งท่ามกลางความมืดที่ยังปกคลุมอยู่ภายในห้องพอสลัวๆ มองดูเพื่อนรักที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆมีรอยยิ้มออกมาจากใบหน้าเล็กน้อย

" คือสิหนาวแฮงเน๊าะ เหล่นห่มจีวรตั้ง2ผืนเลย ลุกไปเอามาแต่ตอนได๋ว๊า.." พึมพำออกมา พร้อมกับพาตัวเองลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตูห้องแต่ก็มิวายที่จะลืมคว้าผ้าจีวรผืนใหญ่ห่มตัวเพื่อคลายความเหน็บหนาว


...นี่คือกิจวัตรประจำวันของเขา ตั้งแต่หลวงพ่อพระครูฯดึงตัวเขาเข้ามาเป็นสามเณรอุปัฏฐากก้นกุฏิ มันทำให้เขาต้องตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษกว่าใครทั้งหมด เริ่มตั้งแต่จัดแจงหุงข้าว (เพราะตัวหลวงพ่อพระครูฯท่านจะฉันข้าวเหนียวได้ไม่มากเนื่องจากมีผลกับโรคประจำตัวของท่าน และทางหมอก็ดูจะสั่งห้ามเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาฉันข้าวที่มีสารให้ความหวานน้อยลง) เมื่อออกมานอกห้องสายตาก็เจอเข้ากับหลวงพ่อพระครูฯ ท่านกำลังนั่งทำวัตรเช้าอยู่รูปเดียวเฉกเช่นทุกวัน แม้จะล่วงเลยออกพรรษามาแล้วแต่ท่านก็ยังเคร่งในวัตรปฏิบัติและทำอยู่มิได้ขาด ยังผลให้เกิดรอยยิ้มแก่สามเณรตัวน้อยขึ้นอีกครั้ง นี่คือแบบอย่างที่เขาเห็นแล้วต้องอดที่จะชื่นชมเป็นแบบอย่างไม่ได้ สามเณรไผ่ศธรละสายตาออกจากจุดนั้นและก้าวย่างไปในจุดที่ตัวเองต้องปฏิบัติเป็นอันดับแรก หม้อหุงข้าวถูกจัดการเรียบร้อยในเวลาไม่นานนัก มุ้ง ผ้าห่มที่นอน ในห้องของหลวงพ่อพระครูฯถูกเก็บเข้าที่ในเวลาต่อมาและสิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือกระโถน ที่เขาต้องนำไปเทแล้วก็ล้างทุกเช้าซึ่งแม้ภายในจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยโสภาเท่าไร แต่เขาก็กระทำด้วยความเต็มใจเป็นที่สุดพร้อมสุขใจอยู่ลึกๆที่เขามีโอกาสได้รับใช้พระเถระชั้นผู่ใหญ่ได้แบบนี้ มันเป็นการสอนให้เขาเรียนรู้หลายๆอย่างเมื่ออยู่กับท่าน ไม่ว่าจะเป็นวัตรปฏิบัติ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่พึงมี และความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เขาต้องพึงปฏิบัติให้ขึ้นใจ เพราะการเข้ามาอยู่ในจุดนี้เขาต้องเข้าหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่แทบทุกวัน หรือแม้แต่หลักการเขียนหนังสือที่หลวงพ่อพระครูฯท่านถ่ายทอดเป็นเชิงบอกกล่าวอยู่เป็นบางครั้ง นี่คือสิ่งที่เขาได้รับและสามเณรตัวน้อยก็พร้อมยินดีรับและปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ...







... เสียงระฆังยามเช้าตรู่ของวัดอุดมคีรีเขตดังขึ้นเป็นจังหวะ ปลุกกระตุ้นให้เหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญให้เตรียมความพร้อมในการประกอบสิ่งอันเป็นกุศลก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทำกิจวัตรส่วนตัวของตนต่อไป เช้านี้ป้าไหมมอบหน้าที่ให้สายใยลูกสาวคนสวยทำหน้าที่แทนในการใส่บาตร


" แม่เลาออกไปเก็บมอญอยู่บ้านโคกหินแตกกับหมู่อาเพินตั้งแต่เซ้าๆแล้ว เลยบ่ได้อยู่ใส่บาตรน้องเณร " สายใยพี่สาวคนสวยบอกสามเณรตัวน้อยพร้อมกับมีรอยยิ้มให้เห็น


" ครับโยมเอื้อย " เป็นคำตอบรับที่สั้นและได้ใจความ แม้จะเข้ามาอยู่ในสมณะเพศนานถึงสองปีกว่าแล้วแต่อาการแบบนี้ก้อยังมีไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเจอกับพี่สาวของเขา พลางนึกไปถึงผู้เป็นมารดาที่มีความอดทนความขยันเป็นเลิศที่ต้องฝ่าอากาศอันแสนเหน็บหนาวออกไปตั้งแต่เช้า แต่ก่อนในทุกๆเช้าแม่จะต้องนั่งขลุกตัวอยู่ในมุ้งผ้าเขียวที่ข้างในถูกทำเป็นชั้นๆเกือบ15ชั้นไว้สำหรับสอดเจ้ากระด้งเข้าไป หรือแม้แต่เวลากลางคืนแม่ก็ยังนั่งแช่อยู่กับจุดนี้ คอยประคบประหงมกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในคอยดูแลเหมือนกับลูกน้อยเลยทีเดียว เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายสีทองเหลืองอร่าม และนี่คือรายได้หลักอีกทางที่ช่วยหล่อเลี้ยงจุนเจือครอบครัวมาได้จนทุกวันนี้...


....แสงแดดยามสายช่วยคลายความเหน็บหนาวให้กับสิ่งรอบกายลงได้บ้าง สายลมยังโชยหอบเอาความเย็นเข้ามาปะทะอยู่เป็นระลอกๆ


" หล่าเอ๊ย..น้อยเอ๊ย..น้อย.. ไปไสน้อ.." เสียงหลวงพ่อพระครูฯร้องเรียกสามเณรไผ่ศธรอยู่ภายในห้อง ทำให้สามเณรตัวน้อยต้องผละวิ่งออกไปจากสามเณรวีระจักรเพื่อนรักทันทีตรงเข้าไปยังห้องเจ้าของเสียงที่ดังขึ้นเมื่อกี๊ ..

" แม่นหยั๋งครับพ่อ " เอ่ยถามหลวงพ่อพระครูฯที่ตอนนี้สามเณรตัวน้อยเคารพรักเสมือนพ่อของเขาเลยทีเดียว

" มื้อนี้พ่อบ่ได้มีงานไปไส ...บักหล่าพาหมู่เขาไปทำความสะอาดโบสถ์แนเด้อ มื้อวานพ่อย่างไปเห็นพวกนกพิราบมันขี่ใส่ไว้เต็มพื้นโบสถ์เอาโล้ด พาหมู่เขาหาน้ำไปล้างออกแนไป๋บ่ได้ล้างทำความสะอาดโดนแล้ว.." เสียงท่านบอกกล่าวแล้วหันไปให้ความสนใจกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ

" ครับพ่อ " รับคำแล้วผละออกไปจากจุดนั้น








.......ครึ่งชั่วโมงผ่านไป.......

......สายยางฉีดน้ำถูกต่อและลากเข้าไปในบริเวณพระอุโบสถโดยขณะนี้มีสามเณรตัวน้อย4รูปกำลังส่งเสียงร้องสนุกสนานพร้อมกับขัดเจ้าสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดจากอาคันตุกะที่เข้ามาใช้ที่พำนักอาศัยก่อสร้างครอบครัวอยู่ในบริเวณพระอุโบสถแห่งนี้แบบถาวร มองให้เห็นเกือบ30ครอบครัวหลังจากประเมิณด้วยสายตาแบบคร่าวๆ แถมเจ้าอาคันตุกะพวกนี้ยังยัดเยียดความสกปรกให้กับสถานที่แห่งนี้แบบไม่เกรงใจเจ้าของสถานที่ กว่าจะใช้เวลาจัดการเสร็จก็กินเวลาไปนานทีเดียว...

" เฮาว่าแม่นเฮาล้างถูออกได้กะบ่เกินอาทิตย์ดอก มันต้องขี่ใส่อีกคือเก่าเดี๋ยวกะต้องได้ล้างอีก เอาแบบซี้ดีกว่า..." เสียงสามเณรวีระจักรดังขึ้นพร้อมกับทอดสายตาขึ้นไปยังข้างบนที่ตอนนี้ มองเห็นรังของเจ้าพิราบอยู่เป็นจุดๆ ใบหน้ายิ้มออกมาแบบมีเลศนัย..

" โตสิเฮ็ดหยั๋งเพิน " สามเณรตัวน้อยถามเพื่อนรักและสงสัยในอากัปกิริยาของเพื่อน

" เดี๋ยวเฮาจัดการเอง โตอยู่ซือๆโล้ด " บอกยิ้มๆ และไม่พูดเปล่าร่างของเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปยืนอยู่บนริมขอบของหน้าต่างพระอุโบสถที่ยกตัวสูงขึ้นจากพื้นมากพอสมควร เสมือนกับว่าเป็นผู้ชำนาญการที่ถูกฝึกฝนมาเป็นพิเศษทางด้านการปีนป่ายมาโดยเฉพาะ ไม่ถึงอึดใจรังของเจ้าพิราบถูกจับโยนลงมายังเบื้องล่างโดยหารู้ไม่ว่าข้างในนั้นมีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วย ลูกนกน้อยพึ่งคลอดออกมาใหม่ตัวสิแดงหลุดออกมาจากรังพร้อมกับหล่นลงมากระแทกพื้นนอนตายอยู่เบื้องล่างเกือบนับสิบตัว รวมไปถึงไข่อีกหลายฟองที่แตกละเอียดแบบไม่มีชิ้นดีหลังจากกระแทกเข้ากับพื้นปูนซีเมนต์เบื้องล่าง ยังผลให้สามเณรไผ่ศธรถึงกับร้องตะโกนบอกเพื่อนรักทันที…

“ เพินจักร…หยุดก่อน… “ เสียงร้องดังก้องพร้อมกับใบหน้าถอดสีเมื่อมองเห็นสภาพของลูกนกที่นอนตายเกลื่อนอยู่ตรงหน้าของเขาในขณะนี้...

>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<< ...คำนำ.... ......บทละครต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชักนำไปในทางที่ไม่สมควรหรือเสื่อมเสีย และไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง เป็นจินตนาการที่เกิดจากตัวคนเขียนเอง หากสิ่งใดไม่สมควรผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จุดประสงค์ของผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านเกิดความบันเทิงเท่านั้นครับ วิบากกรรมนั้นแม้ตัดไม่ได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้ พระพุทธองค์เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม" จริงๆ การก้าวล่วงบาปกรรมนั้น ก็คือการสำนึกบาปอย่างจริงใจนั่นเอง แล้วตั้งใจมั่นว่า จะไม่ทำบาปกรรมเข่นนั้นอีก สิ่งนี้เป็นการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกไปจากจิต(ใต้สำนึก) ทำให้กรรมดำกลายเป็นกรรมขาว พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า " กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "




" กรุงเทพมหานคร "

..... เมืองที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เป็นเมืองที่เรียกว่าสังคมแห่งการแข่งขันในทุกๆด้านเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงธุรกิจหรือสิ่งต่างๆ บนถนนทุกสายเต็มไปด้วยรถที่เบียดกันวิ่งขวักไขว่ราวกับมด โรงงาน ห้างสรรพสินค้า (ที่ส่วนมากนายทุนจากต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นครอบครอง) มหาวิทยาลัยถูกสร้างขึ้นกระจายตามเขตต่างๆเพื่อที่จะรองรับผู้คน ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตึกรามบ้านช่องและสิ่งก่อสร้างต่างๆผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกๆด้านมีให้เห็นอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้แทบทุกจุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้คนมากมายต่างมุ่งตรงเข้ามาจากทุกภาค ( โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นแรงงานที่มีความขยันเป็นเลิศ ) จุดมุ่งหมายของทุกๆคนก็คงจะเป็นคำตอบเดียวกันหรือถ้าไม่ใช่ก็น่าจะไกล้เคียง นั่นก็คือเข้ามาสร้างตัวสร้างอนาคตของตัวเองและต่างก็หวังอยู่ลึกๆว่า เมื่อสมควรแก่กาลเวลาและความเป็นไปได้ก็คงนำส่วนที่เก็บได้นี้กลับไปสร้างอนาคตของตัวเองยังบ้านเกิดเมืองนอน มีหลายคนที่พบกับความรักในเมืองหลวงแห่งนี้และมีหลายคู่ที่ตกลงปลงใจร่วมสร้างอนาคตร่วมกัน บางคนโชคดีหน่อยทำมาหากินถูกทางก็สามารถถีบตัวเองขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจเองเสียเลย ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ และนี่คงเป็นความต้องการและความฝันของใครหลายๆที่จะก้าวย่างขึ้นมายืนอยู่ตรงจุดนี้ให้จงได้

....เมื่อเป็นสังคมที่ใหญ่และเป็นสังคมแห่งการแข่งขันสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ ปัญหาสิ่งต่างๆที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามายังตะเข็บชายแดนเพื่อมุ่งตรงนำเข้ามาเมืองหลวงแห่งนี้ ปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นมาในรูปแบบต่างๆจนน่ากลัว นี่คือปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ต้องผวาอยู่เนืองๆ เพราะมีบางครั้งที่พวกเขาต้องเจอกับสิ่งพวกนี้โดยที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้สัมผัสกับมัน
.....แล้วคุณหล่ะ???.... " ระวังจะเจอเข้ากับมันโดยที่คุณยังไม่ทันตั้งตัว " ......

เวลา 21.20 น.

.... เบนซ์สีดำคันงามเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเข้าไปจอดยังสถานที่แห่งหนึ่ง
" ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ " ป้ายตัวใหญ่ที่ถูกไฟสว่างส่องให้เห็นเด่นชัด ดึงดูดสายตาของผู้คนที่สัญจรเดินผ่านไปผ่านมา หรือนักเที่ยวยามราตรีให้ต้องหยุดมองและอยากเข้ามาสัมผัส สถานที่แห่งนี้คือสถานที่เที่ยวของคนกลางคืนในเขตย่านคลองตัน ข้างในถูกปิดกั้นด้วยกระจกติดฟิมล์กรองแสงจนมืดมิด ตรงประตูทางเข้านั้นถูกปรับใช้ไฟให้มองเห็นพอสลัวๆตอนนี้มีร่างของหญิงสาว3คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงโปรยยิ้มส่งสายตาดึงดูดนักเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าดูตามความเป็นไปได้แล้ว " รอยยิ้ม" คงจะเป็นแค่ส่วนประกอบให้คนที่พบเห็นได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง แต่จุดใหญ่ที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้ดีคงเป็นเพราะกระโปรงของพวกเธอที่สวมใส่อยู่มันสั้นจนน่าใจหายเล่นเอาคนที่เดินผ่านมาพบเห็นต้องหยุดหายใจ คอแห้งผากหิวน้ำขึ้นมาในทันทีทันใด แสงไฟพอสลัวส่องให้เห็นเรียวขาที่ขาวเนียนได้ส่วนสัดอัดแน่นไปด้วยหนั่นเนื้อจนกระโปรงขนาดเล็กที่พวกเธอสวมใส่อยู่แทบปริออกมา พวกเธอหยุดให้ความสนใจกับหน้าร้านไปชั่วขณะเมื่อเบ็นซ์คันงามที่พึ่งวิ่งเข้ามาเมื่อกี๊จอดนิ่งสนิทแล้ว สายตาของพวกเธอหันมาให้ความสนใจกับบรุษเจ้าของเบ็นซ์สีดำคันงามคันนี้แทน ประตูซ้ายด้านหน้าถูกเปิดออกโดยมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกระวีกระวาดลงมาจากรถพร้อมกับเดินมาเปิดประตูซ้ายด้านหลังออก ร่างของชายหนุ่มใส่เสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์ก้าวลงออกมาจากรถในทันใด แสงไฟจากหน้าร้านส่องให้เห็นใบหน้าที่คมเข้ม รูปร่างกำยำหน้าเกรงขามสามารถเรียกบรรดาสาวๆให้ชะงักหยุดมองได้ดีทีเดียว

" เสี่ยสิกินหยั๋งครับมื้อนี่ เดี๋ยวผมสิสั่งเด็กน้อยจัดมาให่ " เด็กหนุ่มผู้มีนามว่า " ตั้ม เมืองศรี " คนสนิทที่เปรียบเสมือนมือขวาถามลูกพี่แบบรู้หน้าที่

" เอาแบบเก่ามากะได้ตั้ม แต่เพิ่มยำเข่ามาให่อีกเมนูหนึ่งกะพอแล้ว " เสี่ยณรงค์ฤทธิ์ หรือเสี่ยหน่อที่ลูกน้องชอบเรียกหันไปสั่งคนสนิทแบบเป็นกันเองพร้อมกับก้าวเดินเข้าไปยังหน้าร้านที่ตอนนี้สามสาวกำลังลุกขึ้นส่งยิ้มหวานรอแบบเอาอกเอาใจ เพราะบุรุษหนุ่มคนนี้คือผู้ที่มอบโอกาสให้แก่พวกเธอได้มีกินมีใช้ในทุกๆเดือนโดยไม่ขัดสน

" เสี่ยหน่อเพินกินหยั๋งแนว๊ะมื้อนี้ " หนุ่มร่างเล็กผู้ทำหน้าที่พลขับเบ็นซ์คันหรูและเปรียบเสมือนสมุนมือซ้ายของเสี่ยณรงค์ฤทธิ์เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังมองตามหลังลูกพี่ไปซึ่งตอนนี้3สาวที่นั่งอยู่ประตูทางเข้าเดินออกมาเกาะแขนเอาใจใส่แบบรู้หน้าที่ของตัวเอง

" แบบเก่าว๊ะดุ่ย!! เพิ่มยำเข่ามาอีกอย่างนึง เดี๋ยวโตไปบอกอรกับดาหลาไปนั่งนำเสี่ยเพินเด้อ เฮาสิเข่าไปบอกเด็กน้อยในครัวเอง" ตั้ม เมืองศรี บอกเพื่อนรักแบบรู้ใจนายใหญ่ของตัวเอง…….


….. “ ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ “ คือกิจการของณรงค์ฤทธิ์ เสี่ยหนุ่มผู้มาดมั่นด้วยหัวใจเต็มร้อยแห่งการบุกเบิกสร้างตัวเอง เขาเติบโตมาจากสายเลือดอีสานดินแดนแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ พื้นฐานของณรงค์ฤทธิ์ดูจะมีความสดใสมาตั้งแต่เด็กเนื่องด้วยกิจการฐานะทางบ้านปูทางไว้ให้ก่อนแล้ว ที่จังหวัดร้อยเอ็ดณรงค์ฤทธิ์มีกิจการเป็นของตัวเองคือเปิดเป็นโรงสีไฟใหญ่และเปิดรับซื้อขาวเปลือกซึ่งแต่ละปีเขามีกำไรอยู่มากโขทีเดียว โดยมอบให้น้องชายคนเล็กเขาเป็นผู้ดูแลแทน ซึ่งนานๆครั้งถึงจะกลับไปดูที เมื่อ2ปีที่ผ่านมาเสี่ยหนุ่มผันตัวเองจากธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรหันมาทำธุรกิจด้านบริการแทนซึ่งนับว่าเขาจะจับถูกด้านเสียด้วยเมื่อเขาหันมาเปิดไนต์คลับในเมืองหลวงแทนโดยที่ตัวเขาเข้ามาควบคุมด้วยตัวเอง ไนท์คลับแห่งนี้คือ แหล่งรองรับนักท่องเที่ยวนักดื่มผู้ที่มิยอมหลับไหลยามราตรี และดูจะสร้างกำไรให้เขาเป็นกอบเป็นกำทีเดียว ณรงค์ฤทธิ์มีเด็กสาวในความดูแลถึง15คน ซึ่งแต่ละคนล้วนหน้าตาสวยๆทั้งนั้น แต่ละคืนไนท์คลับแห่งสร้างเม็ดเงินเข้ากระเป๋าของเสี่ยหนุ่มได้มากมาย จนตัวเขาเองต้องนำเม็ดเงินเข้าไปลงทุนเปิดเป็นร้านอาหารอีสานอีกแห่งในเขตบางกะปิ เปิดให้บริการในช่วงหนึ่งทุ่มไปจนถึงตีสองทุกวัน โดยแต่ละคืนมีนักร้องหนุ่มสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นเวทีขับกล่อมให้บริการสร้างความสำราญใจให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการอยู่ทุกค่ำคืน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สร้างเม็ดเงินให้แก่เสี่ยหนุ่มอย่างมากมายมหาศาลนั่นก็คือ …” ยาเสพติด “ …นั่นเอง



ตั้ม เมืองศรี และ ดุ่ย แดนผาขาว สองเด็กหนุ่มลูกอีสานที่มาจากต่างถิ่นโดยจุดหมายของพวกเขาคือสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ ถีบตัวเองให้พ้นจากความแร้นแค้นโดยมีผู้ที่ฝากความหวังไว้กับพวกเขาหลายชีวิตด้วยกัน อำนาจของเงินตรานำพาให้ชีวิตของพวกเขาทั้ง2คนต้องโคจรมาพบกันโดยบังเอิญ “ ตั้ม “ เด็กหนุ่มจากจังหวัดศรีสะเกษ หน้าตาคมคายผู้มีความดุดัน ใจถึงและทุ่มเทความภักดิ์ดีให้กับเสี่ยหน่อ วีรกรรมที่ผกผันชีวิตให้เขาต้องขึ้นมาเป็นมือขวาของเสี่ยหนุ่มก็คือการคว่ำลูกสมุนที่เสี่ยหนุ่มมอบหมายหน้าที่ให้คุมไนท์คลับแห่งนี้ลงไปนอนนิ่งถึง5คนภายในไม่ถึงสองนาที หลังจากที่ตัวเขาเองเข้ามาเที่ยวสถานที่แห่งนี้แล้วเกิดไม่พอใจที่หญิงสาวคนหนึ่งไม่ยอมทำตามใจของเขา จนผู้ที่ดูแลต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยแต่กลับไม่สำฤทธิ์ผล เมื่อโดน ตั้ม เมืองศรี อัดลงไปกองอยู่กับพื้นในพริบตาและมันก็สร้างความพึงพอใจให้กับเสี่ยหนุ่มเป็นอย่างมาก ตั้ม เมืองศรี ถูกเสี่ยหนุ่มดึงตัวเข้ามาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินหลายเท่ากว่าที่ตัวเขาได้รับในแต่ละเดือนเลยทีเดียว ส่วน " ดุ่ย แดนผาขาว" คือเด็กหนุ่มจากจังหวัดเลย ผู้มีบุคลิคอ่อนโยนแต่แกร่งในสภาวะคับขัน เขาเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมจากร้านอาหารอีสานเขตบางกะปิที่ทางเสี่ยหนุ่มเป็นเจ้าของกิจการอยู่ แล้วก็ดึงตัวมาเป็นพลขับให้โดยบังเอิญ หลังจากที่คนขับคนก่อนนั้นหายตัวสาบสูญไปแบบไร้ร่องรอย โดยที่เสี่ยหนุ่มเข้าใจว่าคนขับรถของเขาคนก่อนคงโดนคู่อริ( คู่แข่งทางธุรกิจ) อุ้มตัวไปรีดข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของเขา ดุ่ย แดนผาขาว เปรียบเสมือนมือซ้ายของเสี่ยหนุ่มที่เขาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจไปไม่ต่างจากตั้ม เมืองศรีเลย เพราะเมื่อสองคนนี้ได้ทำงานร่วมกันทีไร บรรดาคู่ต่อกรต้องขยาดกันเป็นแถว……

พวกคุณจงระวังพวกเขาสองคนกันให้ดี…..

นิยาย กรรมลิขิต 9


กรรมลิขิต


ตอน ชะตาชีวิตหรือชะตาฟ้าลิขิต 1


..โบราณเคยว่าไว้ ...แข่งเรือแข่งฝีพายนั้นแข่งกันได้แต่แข่งโชคแข่งวาสนานั้นยากนักที่จะทำได้... (นี่คือสัจจะธรรมแห่งชีวิต) ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมานั้นแต่ละคนประกอบไปด้วยจิตวิณญาณ ความรู้สึกนึกคิดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าใครประกอบหรือกระทำอะไรไว้ในอดีตชาติกาลก่อน แล้วผลในอดีตชาติจะเป็นตัวกำหนดปรุงแต่งรูปร่างและจิตใจให้บังเกิดปฏิพัทธ์มาเสวยวิบากในปัจจุบันชาตินี้.. ชะตาชีวิต-ฟ้าลิขิต เสมือนกับชีวิตถูกกำหนดอย่างมีกฏเกณฑ์ "กรรม" คือการกระทำที่ส่งผลให้กับตัวเราแบบเต็มๆและอย่าลืมว่ากรรมนั้นรวมปัจจุบันกาลไปด้วย ฉะนั้นควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ?.

..ชะตาชีวิต...(ฟ้าลิขิต).. ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา เราเป็นผู้กำหนดแห่งการกระทำ..แล้วคุณหล่ะเลือกที่จะกระทำกรรมในรูปแบบไหนดี?.










... แสงสุรีย์ลาลับขอบฟ้ามองเห็นแสงสีทองอร่ามวางขนานนาบกับขอบพื้นพสุธาอยู่ลิบลับ เหล่าฝูงสกุณากลุ่มใหญ่ร่อนถลาโล้โลมเล่นสายลมขณะบินกลับรังของมันคล้ายกับว่าจะพิสูจน์ความแกร่งของปีกเสมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังเบ่งพลังความมาดแมนกำยำของสรีระร่างกายอันผึ่งผายเปล่งประกายชวนให้ดรุณีนางต้องชะม้ายชายตามองแบบไม่กระพริบสายตา

...วิ๊ววว...วิ๊ววว..วิ๊ววว.. เสียงสายลมพัดปะทะเข้ากับกิ่งสนกลุ่มใหญ่ที่ยืนต้นเรียงรายกันอยู่เป็นกลุ่ม จนเกิดเป็นเสียงดังชวนให้ขนลุก แม้ว่าใบของมันจะร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นดินข้างล่างเสียส่วนมากแล้วก็ตามแต่เนื่องด้วยสายลมที่พัดด้วยความรุนแรงเข้าปะทะกับกิ่งที่ตั้งตัวตรงที่แผ่ขยายอยู่ทั่วลำต้นแบบเต็มๆก็จึงบังเกิดเสียงดังขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้


..ฤดูอันหนาวเหน็บแห่งผืนดินแถบอีสานดูจะเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายมาก และคงทำให้ใครหลายคนเกลียดความหนาวเหน็บนี้เข้ากระดูกดำไปเลยโดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่มีอันจะกิน เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูจะขาดซ่อมซ่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นับประสาอะไรจะหวังกับผ้าห่มผืนใหญ่ๆหนาๆปกปิดกายาให้สร่างซาจากความหนาวลงไปได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นประกายความอบอุ่นแห่งเปลวเพลิงที่ชาวบ้านหนองนางามแห่งนี้กำลังก่อเกิดให้เห็นแสงประกายขึ้นอยู่เป็นจุดๆในตอนนี้.....

" ตั้งแต่ลูกเณรเพินเข่าไปเรียนอยู่วัดมิ่ง (เมืองพล) แล้วข่อยกะสบายใจขึ่นหลายคักอยู่เด๊ะเฒ่า ลูกเณรเพินคือสิวาสนาดีคือจั่งหลวงพ่อพระครูฯเพินเบิ่งดวงให่แท้ๆ " เสียงทิดจวนพ่อของสามเณรขวัญชัยเอ่ยกับเมียรักขณะที่นั่งเฝ้ากองไฟอยู่ลานหน้าบ้าน พร้อมใช้มือจับกระบอกข้าวหลามพลิกหมุนให้โดนความร้อนอย่างทั่วถึง และตอนนี้รู้สึกว่าจะส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

" กะสิคือก็หมู่เขาอยู่ดอกตี๊ข่อยว่า บ่จั่งซั่นหลวงพ่อพระครูเพินคือสิบ่ส่งไปก่อนหมู่ดอกเนาะ เณรไผ่กับเณรจักรเพินกะยังบ่ส่งไป แต่เพินส่งลูกซายเฮาแสดงว่าเพินสิเห็นอีหยั๋งดีๆในโตลูกซายเฮาแท้ๆ " ป้าแต๋วเอ่ยกับสามีพร้อมกับยิ้มเป็นประกายสายตาแสดงออกถึงความสุขใจอยู่ลึกๆเมื่อนึกถึงลูกชาย


..หลังจากที่สหายรักทั้ง3 ได้บรรพชาเข้ามาอยู่ในความดูแลของหลวงพ่อพระครูอุดมรัตนคุณ เจ้าคณะตำบลหนองนางามและเจ้าอาวาสวัดอุดมคีรีเขต. เพียงแค่ระยะเวลาสองปีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากๆสำหรับสามเณรขวัญชัย เพราะทางหลวงพ่อพ่อครูฯท่านเล็งเห็นถึงความสามารถฉลาดหลักแหลมท่านเลยได้ส่งเข้าไปศึกษาต่อยังวัดมิ่งวราราม ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น โดยท่านพระครูประสิทธิ์ญานุรักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสและเป็นเพื่อนกับท่านให้ความอุปการะซึ่งวัดแห่งนี้เปิดสอนธรรมควบคู่ไปกับบาลีด้วย โดยสามเณรขวัญชัยได้พักอยู่กับพระมหาธีระเทพ (เปรียญธรรม 5ประโยค) ลูกศิษย์สายพระครูอุดมรัตนคุณนั่นเอง

ส่วนทางด้านสามเณรไผ่ศธรนั้นเมื่อเข้าปีที่2หลังจากสอบนักธรรมชั้นโทผ่านพ้นไปแล้วทางหลวงพ่อพระครูอุดมฯก็ดึงตัวเข้ามาเป็นสามเณรอุปัฏฐากก้นกุฏิ ที่มีหน้าที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างไกล้ชิด ซึ่งก็นับเป็นผลดีกับตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะหน้าที่เหล่านี้เป็นเสมือนการฝึกตนให้รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีสัมมาคาระวะที่ความยึดถือให้ควบคู่ไปกับความอ่อนโยนภายในใจ และตัวเขาเองก็เฝ้ารอโอกาสและแอบหวังอยู่ลึกๆว่าสักวันท่านหลวงพ่อพระครูฯจะหยิบยื่นโอกาสให้เขาเหมือนกับที่สามเณรขวัญชัยเพื่อนรักได้รับจากท่านไปแล้วนั่นเอง






......เพื่อน....

คำๆนี้ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำเสมอ ระยะทางของกาลเวลา นำพาสิ่งต่างให้เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกลของวิบาก หนทางที่ก้าวย่างของแต่ละคนดูจะแตกต่างคนละเส้นทาง แต่คำว่าเพื่อนมิตรภาพสิ่งดีๆก็ยังคงมีไว้ในความทรงจำให้กันเสมอ ถึงแม้วันนี้หนทางแห่งอนาคตต้องทำให้สามเณรขวัญชัยต้องไกลห่างจากมิตรภาพออกไป แต่สามเณรไผ่ศธรก็ยังยิ้มอยู่ได้เพราะยังมีเพื่อนรักที่อยู่เคียงข้างกายอีกคนนั่นก็คือ..สามเณรวีระจักร เพื่อนรักของเขาอีกคนนั่นเอง...

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คลายเครียดด้วยนิทานสอนใจในสไตล์ของ รุทธิ์ อีเกียแดง


เรื่อง "อนิจจาหนอ นายแอ่น"

ที่มา: เป็นนิทานที่นำมาแปลงใหม่ในสไตล์ของผมเองครับ

ครั้งหนึ่งโดนมาแล้วครับ(โดนเติบอยู่)มีนกนางแอ่นโตผู้สีดำอยู่โตหนึ่ง
(น่าสิเอิ้นนกนายแอ่นเด๊เน๊าะเพราะว่าเป็นโตผู้แหมะ) นกโตนี่เป็นนกที่อารมณ์ดีมักฮ้อง
เพลงคือบ่าวรุทธิ์นี่หล่ะ แต่ละมื้อนกโตนี่สิบ่ค่อยเฮ็ดหยั๋ง กิจวัตรประจำมื้อกะคือมันสิ
บินเซิน(ถลา)ร่อนลมอย่างมีความสุขอยู่เทิงฟ้ากว้าง สูงขึ้นไปฮอดก้อนขี่ฝ่า(เมฆ)
แล้วกะเซินต่ำลงมาเฉียดยอดหญ้า (แสดงว่าหมอนี่อารมณ์ดีแล้วกะบ่มีเวียกคั๊ก)
มันบินหยอกล้อสายรุ้ง จนลืมว่าลมหนาวกำลังสิมาฮอดมาเยือนแล้ว

มันเป็นฤดูหนาวที่โหดเหี้ยมหลายอุณหภูมิลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (พอปานเกาหลีตอนนี้)
แค่เวลาข้ามคืนหิมะกะโปรยปรายตกลงตลอดมื้อตลอดคืนจนท่งนากลายเป็นลานน้ำแข็งสีขาว สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ทั้งหลายต่างกะมุดเข้าถ้ำจำศีลกับคู่เจ้าของ หานอนกอดกันแก้หนาวดีกว่าพะนะ

กะสิมีแต่เจ้านกนางแอ่นผู้ที่มักเสียงเพลง สายลม แสงแดดและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พะนะ ที่บินไปมาอย่างไร้จุดหมาย ฮังของมันถืกอัดแน่นไปด้วยหิมะเย็นยะเยือก ในที่สุดมันจึงได้ตัดสินใจ นั่งรถไฟโอ๊ะบินลงใต้ หวังว่าสิไปพ้อดินแดนที่อบอุ่น แต่อนิจจาครับท่านผู้ติดตามอ่านนกนางแอ่นน้อยฝ่าลมหนาวไปได้บ่ไกล พายุหิมะเฮ็ดให่ปีกมันชา ปวด แล้วกะตกตุ๊บลงข้างๆกองเฟียง(ฟาง)โรงนาของชาวบ้านแห่งหนึ่ง (ลองเบิ่งแหล่วกับความหนาวต๊ะบ่าวรุทธิ์ อีเกียแดงกะแข็งแล้ว) มันนอนโตแข็งทื่อเหลียวเห็นความตายกำลังกวักมื้อเอิ้นอยู่ต่อหน้า (มาถะแม้มาถะแม้ )เลือดกำลังจับโตเพราะความหนาวเหน็บ

ทันใดนั้นเองกะมีแม่งัวโตหนึ่งย่างฝ่าหิมะมาหาเฟียงเคี้ยวกิน ย่างผ่านมาเห็นนกนางแอ่นน้อยที่นอนแข็งอยู่เฮ็ดให่เกิดความหลูโตนหลาย กะเลยขี้ออกมากองบักใหญ่ทับไปที่ร่างนกนางแอ่นน้อย (เหอะๆๆเหม็นหลายพะนะ ฮิ๊ววว) ความอบอุ่นจากขี้งัวซอยคลายความหนาว
ขับไล่ความหนาวเย็น นกน้อยเริ่มฮู้สึกโตช้าๆ โอ...ช่างอบอุ่น ช่างเหม็นดีแท้ๆ
หรือว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังสิมายามแล้วบ้อ พุ้นหน่ะเพินคิดไป

ด้วยความอบอุ่นเป็นสุขมันกะเลยอ้าปากฮ้องเพลงอันไพเราะออกมาว่า

"ลมหนาวลูบข้าวรวงไหวลู่ตามแรง ตะวันโอบแสงกอดผืนนาปลายฟ้าหน้าหนาว" (ฮ้องเพลงไผ่เลยตั๊วนี่555)
พอดีขณะนั้นเองมีแมวป่าหิวโซย่างออกหาอาหารผ่านมา มันกะหยุดฟังพ้อมกับแปลกใจ


"เอ... กองขี่งัวคือฮ้องเพลงได้น้อบาดเนี่ยะ งึดหลายย" เมื่อสงสัยแล้วแมวป่า
กะเลยทำการพิสูจน์แหวกกองขี่งัวออกเบิ่ง เลยไปพ้อกับนกนางแอ่นน้อยอยู่ในนั้น เสร็จถ่อนแหล่วพี่น้องเอ๊ย แมวป่าเลียปากใส่เลย..

(แมวป่าท้องกิ่วกะเลยจับนกน้อยกินเป็นอาหารซ้ำ)

นิทานเรื่องนี่สอนให่ฮู้ว่า.....

1. คนที่นำสิ่งสกปรกมาให่กะใช่ว่าสิเฮ็ดร้ายเฮาเสมอไปเน๊าะ

2. คนที่ซอยเฮาออกจากที่สกปรกอาจเป็นอันตรายกะได้

3. อย่าเพิ่งอ้าปากคุยโว ขณะยังมีมลทิน

4. อย่าเป็นคนเถลไถล(ฮู้จักเตรียมการแน คาต๊ะม่วนหลาย)






นิทานเรื่อง สองพ่อลูกจอมปึกกับเจ้าลาจอมโง่

ณ หมู่บ้านดู่ดอน(ห้ามผวนหนา)มีสองพ่อลูกอยู่คู่หนึ่งผู้พ่อซือว่าตาดุดพะนะ(ซือกะดายเน๊าะ)ส่วนลูกซายเพินซือรุทธิ์พะนะ "บุ๊ย" กำลังเป็นบ่าวเลย สองพ่อลูกนี่เป็นคนโม่แป้งเพินเป็นเจ้าของโรงสีพุ้นเด๊(โอ้..บ่ธรรมดา) แต่ว่าผั่นมีฐานะยากจน(เอ๊า..มาเว้าเป็นตาซังแถะ5555)จนแล้วยังบ่แล้วพี่น้องเอ๋ยตกมาปีนี้ฝนกะมาแล้งอีก
ฝนบ่ยอมตกลงมาเลย จุดบั้งไฟแล้วกะแล้วแห่นางแมวแล้วกะแล้วกะบ่ยอมตก สงสัยพญาแถนเลาสิคานอนเว็นพะนะคือสิลืมเบิ่งโลกมนุษย์ มันกะเลยเป็นสาเหตุให่ต้นข้าวสาลีแห้งเหี่ยวตายถ่อนแหล่ว แต่ก่อนกะยังไคเด๊มีชาวบ้านชาวนานำข้าวสาลีมาโม่แป้งอยู่เรื่อยๆปีนี้แล้งหลายกะเลยหาแทบสิบ่มี บ่าวรุทธิ์กะเลยเว้ากับผู้เป็นพ่อว่า

"นี่อี๊พ่อแป้งที่เฮาเอามาเฮ็ดขนมปังกินกะเหมิดแล้วเด๊สิกินหยั๋งหล่ะบาดนี่สิให่ผมไปกินข้าวบ่ายเกลือผมบ่เอาเด๊..ผมอยากอายผู้สาวพะนะ บุ๊ย!!!)

ทางพ่อใหญ่ดุดผู้เป็นพ่อกะเลยเว้ากับผู้เป็นลูกซายว่า

"นี่รุทธิ์เอ๊ย...พ่อเองกะปวดหมองคือกันหล่ะบ่แม่นต๊ะโตดอก เฮายังมีลาอยู่โตหนึ่งอยู่เด๊หล่า พ่อว่าเฮาเอาไปขายดีบ่พอมีเงินพอได้ใช้จั๊กน้อยแนดีบ่หล่า" เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วพ่อใหญ่ดุดกับบ่าวรุทธิ์ผู้เป็นลูกซายกะตัดสินใจสินำลาเข้าไปขายในโตเมืองพุทไธสงพะนะ สองพ่อลูกพากันจูงลาไปครับแดดกะจั่งแม่นฮ้อนหยั๋งกะด้อกะเดี้ยบุ๊หนิ จูงลาไปเช็ดเหงื่อไปไหลเข้าปากกะพ่องกัน(เค็มดีแท้ๆ) ระหว่างทางนั้นเองบ่าวรุทธิ์กับผู้เป็นพ่อได้พ้อกับผู้สาวอยู่กลุ่มหนึ่งกำลังพากันนั่งซักผ้าอยู่ บ่าวรุทธิ์กะเป็นคนปากไวอยู่แล้วกะเลยฮ้องถามไปว่า

"ผู้สาวเฮ็ดหยั๋งน้อ" ทางผู้สาวกะเลยตอบมาว่า

"ซักผ้าอ้าย ตาบ่มืนตี้พะนะ" 555งึดหลาย ทางผู้สาวนอกจากว่าบ่าวรุทธิ์ตาบ่มืนแล้วกะยังมาหาว่าสองพ่อลูกนี่มาซางพากันโง่แท้ว่าซั่น(โง่เทิงพ่อเทิงลูกเลย)โอ๊ยรับบ่ได้พี่น้องเอ๊ยย สูนถ่อนแหล่วบาดนี่กะเลยฮ้องถามไปทางหมู่ผู้สาวแบบเคี๊ยดสุดๆว่า

"นี่คนสวยเป็นหยั๋งคือว่าอ้ายกับพ่อโง่ครับ" น้านเห็นผู้สาวบ่ได้เคี๊ยดปานได๋กะเว้าม่วน555 ทางผู้สาวเพินกะเลยฮ้องตอบกลับมาว่า

"กะโง่แหล่วเนาะลากะมียังพากันจูงย่างเกียกขี่ฝุ่นจนหัวแดงอยู่แทนที่สิขึ่นนั่งเทิงหลังมัน" บ่าวรุทธิ์ได้ยินจั่งซั่นกะเลยเว้ากับผู้เป็นพ่อว่า

"เออ...มันกะแม่นควมผู้สาวเขาว่าเด๊หล่ะพ่อ" ทางพ่อใหญ่ดุดเลากะเลยเว้ากับลูกซายว่า

"เอาจั่งซี้บักหล่าโตขึ้นเทิงหลังลาสาลูกหล่า" ว่าแล้วพ่อใหญ่ดุดเลากะอยู่ดากบ่าวรุทธิ์ผู้เป็นลูกซายขึ่นนั่งเทิงหลังของลาแล้วกะพากันเดินทางต่อไป

พากันย่างต่อมากะมาพ้อผู้หญิงเฒ่าๆ(คนชรา)ในมือเลาถือไม้เท้าย่างสวนมาพะนะ พอย่างสวนมาฮอดไกล้ๆเลากะใช้ไม้เท้าเลาเค๊าะไปหม่องหัวบ่าวรุทธิ์ทันที

"เอิ๊อะ!!!แม่นหยั๋งหนิแม่ใหญ่เจ้ามาเค๊าะหัวผมเฮ็ดหยั๋งหนิ เยี่ยวใส่บ่อนไผ๋รับผิดชอบหนิแม่ใหญ่" บ่าวรุทธิ์สวนขึ่นไปปนอารมณ์สูน+กับควมเจ็บ ทางฝ่ายยายเฒ่าเลากะสวนขึ่นมาทันทีเลยว่า

"บักผีบ้า บักผู้ฮ้ายหลวง กะมัง บักสันหลังยาว อากาศแฮ่งฮ้อนแทนที่สิให่พ่อมึงนั่ง มึงผั่นมานั่งเองจั่งแม่นมึงคั๊กหลายเน๊าะบักผู้ฮ้ายหลวงหน้าบ่อายแท้ ว่าซ้านนน" เอ....มันกะแม่นควมเลาว่าเด๊เน๊าะพ่อ(บ่าวรุทธิ์เว้า)

"เอาจั่งซี้อี๊พ่อมานั่งเดี๋ยวผมจูงเองสั่นหน่ะ" ว่าแล้วบ่าวรุทธิ์กะลงจากหลังลาเปลี่ยนกับตาดุดผู้เป็นพ่อแล้วกะพากันเดินทางต่อไปอีก(ฮอดพุทไธสงง่ายบ้อน้อ55555)

สองพ่อลูกย่างไปได้อีกบ่ไกลกะพ้อกับคนเดินทาง(จั่งแม่นพ้อดุ๊หนิ ฮ่าๆๆๆ) คนเดินทางย่างสวนมากะเลยเว้าขึ่นว่า

"สองพ่อลูกนี่มาโง่แท้อากาศกะฮ้อน ลากะมีเทิงโต แทนที่สิขึ่นนั่งเทิงสองคนยังมาย่างจูงอยู่อีก จั่งแม่นมันปึกเด๊ ปึ๊กแล้วบ่แล้วมันยังพกดีกรีควมผู้ฮ้ายพ่วงมานำอีก คั๊กหลายน้อสู" ฝ่ายบ่าวรุทธิ์ได้ยินจั่งซั่นกะเลยมีความคิดขึ่นมาในสมองว่า

"มันแม่นคือเขาเว้าเด๊เน๊าะ เฮากะโง่อีหลี๋ นี่หล่ะน้อเพินว่าผู้ฮ้ายแล้วบ่แล้วซ้ำตื่มตดเหม็นอีก เฮ้อออ" ทางพ่อใหญ่ดุดเลาเองกะได้ยินคือกันเลากะบอกบ่าวรุทธิ์ผู้เป็นลูกซายขึ่นมานั่งนำกัน แล้วกะพากันเดินทางต่ออีก

พากันขึ่นหลังลาย่างจนสิไปฮอดเมืองพุทไธสงแต่กะไปพ้อกับชาวนาอีกผู้หนึ่งจนได้(ผู๊ได๋เขียนบทหนิพ้อดุ๊เหลือฮ้าย เฮ้อออ555)

"นี่ลาพวกเจ้าตี๊" ชาวนาถามขึ่น

"แม่นแล้วคุณชาวนามีอะไรเหรอ ผมสิเอามันไปขายในเมืองพุทไธสง ฮ่าๆๆๆ" บ่าวรุทธิ์ตอบแทนผู้เป็นพ่อ ฝ่ายชาวนาได้ยินจั่งซั่นกะเลยตอบกลับมาว่า

"อีกบ่โดนถ่าเบิ่งโล้ดลาโตนี่สิเหมิดแฮง ย้อนมันแบกน้ำหนักหมู่เจ้าซำบายกันคั๊กแท้น้อหล่ะบ่หลูโตนมันแหมะ มันเหมิดกำลังเวลาเอาไปขายสิได้ราคาบ้อเจ๊กโคกทางได๋สิซื้อให่เจ้า บุ๊ย พากันคิดบ่หนิ ข่อยคิดว่าพวกเจ้าสองคนพากันซอยแบกมันสิดีกว่าเด๊" ฝ่ายบ่าวรุทธิ์กับผู้เป็นพ่อหันมาสบตากันหน่อยนึง

"อี๊พ่อ เอาตามนั่นพะนะ 5555" เป็นความคิดที่ดีเข้าท่าแท้

ว่าแล้วตาดุดกับบ่าวรุทธิ์กะพากันหาไม้กับเชือกมา ซอยกันผูกลาไว้กับท่อนไม้แล้วกะหามลาเข้าไปในเมืองพุทไธสง(เฮ้อ!!!ฮอดง่ายบ่น้อพี่น้อง) หามกันเข้าไปฮอดในเมืองครับ คนในเมืองบ่เคยเห็นสิ่งที่ตลกแบบซี้มาก่อนเลยพากันหัวร่อจนท้องแข็ง คอกะแข็งบุ๊ยย!! (บาดนี่มาเว้าฮอดลาครับ งึดหลายจนสิจบเรื่องแล้วค่อยสิมาเว้าฮอดมัน) ลามันกะบ่ว่าหยั๋งดอกที่มันถืกหามแบบซี้(ลองว่าลองเว้าออกมาตี๊บ่าวรุทธิ์แล่นแท้ๆ ฮ่าๆๆๆ

"พี่น้องเอ๊ยยยซอยแนลาเว้าได้" ครับท่านผู้ติดตามอ่านลามันบ่พอใจที่ถืกคนหัวร่อกะยังหว่า มันกะเลยพยศเทิงดิ้น เทิงยัน เทิงถีบ ในที่สุดเชือกขาดครับแล้วกะควมบังเอิญตรงกับควมพอดีตรงนั้นมีสะพานข้ามคลองพอดี ลากะเลยตกลงไปในน้ำจมลงไปหายไปต่อหน้าต่อตาพ่อใหญ่ดุดกับบ่าวรุทธิ์

"อี๊พ่อเห็นบ่" บ่าวรุทธิ์ถามพ่อ

"บ่เห็น" พ่อใหญ่ดุดตอบลูกซาย

"เอาอี๊พ่อบ่เห็นเบาะลามันตกลงไปในน้ำไปแล้วนั่นแหมะ" บ่าวรุทธิ์ว่า

"พ่อบ่เห็นกะย้อนว่าตอนนี้มันจมไปแล้วบักผีบ้า" พ่อใหญ่ดุดเทิงเว้าเทิงสิให่ สรุปแล้วสองพ่อลูกเลยจำใจต้องกลับบ้านมือเปล่าพี่น้องเอ๋ย เสียลาไปโดยเปล่าประโยชน์ บ่ได้หยั๋งซ้ำ ทางพ่อใหญ่ดุดเลาหันมาหาบ่าวรุทธิ์ผู้เป็นลูกซายทั้งถอนหายใจแล้วกะเว้าขึ่นว่า"พ่อบ่น่าเฮ็ดตามใจซุมหมู่นี่เลย ในที่สุดพ่อกะเฮ็ดบ่ถืกใจไผ๋ แล้วกะกลับกลายเป็นพ่อเองนี่หล่ะลูกที่โง่คือลาแถมคั๊กกว่าลาอีกหล่ะหว๋า เฮ้อออ"

(นิทานเรื่องนี้สอนให้ฮู้ว่า)
บ่ใช้สมอง บ่ใช้ควมคิดของเจ้าของมัวแต่อาศัยควมคิดชาวบ้านหรือคนอื่น จั๊กมื้อหนึ่งสิพ้อกับควมเสียหายอย่างพ่อใหญ่ดุดกับบ่าวรุทธิ์กะได้เด๊ สั่นดอกว๊าพี่น้อง




นิทานสอนใจผู้ชาย (ที่ผู้หญิงต้องอ่าน แห่ะๆ)

..กาลครั้งหนึ่ง บ่โดนปานใด๋ครับยังมี ผบ.น (ผู้บ่าวซ่ำน้อยพะนะ) จารย์ใหญ่พาแปลเด้อครับเคลียร์กันเอาเอง5555 ซื่อว่าบ่าวหน่อ (เอ๊ะ..ซื่อคุ้นๆ) เพินมีอาชีพตัดต้นไม้ขายครับ ตัดไปตัดมาตัดอี๊ท่าได๋บุ๊หนิขวานหลุดมือตกลงน้ำกะหยั๋งหว่า สงสัยเพินสิอ่านนิทานดู๊ครับ

"เอ????เฮาลองทำท่าให่เบิ่งก่อนน๊าลังเทือสิมีเทวดามาซอย" ความคิดช่างร้ายกาจมาก คิดได้จั่งซั่นกะให่สั่นแล้วครับ

"ฮือๆๆๆๆไผ๋กะได้ซอยแนซอยผมแนขวานหลุดมื๊อขวานหลุดมือ จมจ้อย ฮือๆๆๆๆซอยแน๊ซอยแน" ไห่เป็นตาซังคั๊ก55555 บ่เซือกะต้องเซือครับเพราะมันเป็นนิทานบ่าวรุทธิ์ ทันใดนั้นเองเทวดาลอยขึนมาจากผิวน้ำ ว่ายฟรีสไตล์200เมตรเข้ามาหาบ่าวหน่อทันทีเลย พ้อมกับเปล่งวาจาออกมาว่า

"มีอะไรรึเจ้าหนุ่มน้อย" ทางบ่าวหน่อได้ยินหัวร่อสู่อยู่แอ๊กๆถืกใจเพินหลายเทวดาเอิ้นหนุ่มน้อย พ้อมคิดอยู่ในใจเป็นไปตามแผนเป๊ะเทวดากำลังสิตกหลุมพราง5555 เพินกะเลยเอ่ยขึ่นว่า

"เทวดาครับซอยผมแนขวานผมตกลงน้ำแหมะ ลึกกะลึกเฮ็ดจั่งใด๋ดีบ่มีขวานผมสิเอาหยั๋งทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียครับ" เว้าบ่เว้าซือๆบ่าวหน่อนั่งลงแล้วกะเอาเท้าเพินยันขี้ดินอยู่ตั๊บๆคือจั่งเวลาเด็กน้อยเคียดแม่บ่ซื้อขนมให่กิน เทิงฮ้องเทิงเฮ็ด ฝ่ายเทวดาเห็นจั่งซั่นเลาเลยคิดในใจ

"โอ ....ซางเฮ็ดไปได้ งึดหลายว่าซ้านนน5555)" เทวดากะเลยเว้าขึ้นว่า

"บ่เป็นหยั๋งดอกเฮาสิซอยเอง" ว่าแล้วเทวดากะว่ายตีกรรเชียงออกไปจั๊กหน่อยพ้อมกับมุดดำลงไป

ฝ่ายบ่าวหน่ออักยิ้มอยู่ผู้เดียว กำลังสิเป็นไปตามแผนเทวดาเพินต้องขึ้นมาพ้อมกับขวานทองในเทือแรกพุ้นหน่ะ (ป๊าดดด เฮ็ดการบ้านมาดีคั๊ก) เป็นไปตามคาดครับเทวดาโผล่ขึ้นมาพ้อมกับขวานทองอีหลี แล้วถามไปทางบ่าวหน่อว่า

"แม่นขวานด้ามนี่บ่ของเจ้า" ทางบ่าวหน่อบ๊าเข้าล็อคเพินสั่นแหล่ว

"มันบ่แม้นมันบ่แม่น เทิงฮ้องเทิงไห่" เทวดาเห็นดังนั้นกะเลยว่า

"บ่เป็นหยั๋งอย่าให่เฮาอยากไล่ ฮ่าๆๆๆ เดียวเฮาสิลงไปเบิ่งใหม่" ว่าแล้วกะดำลงไปอีก ลับตาเทวดาบ่าวหน่อหัวไหลเต๊อะไหลเติ่นอยู่

"ต่อไปขวานเงิน" พุ้นนะ เฮ็ดการบ้านมาดีคั๊ก เทวดากลับขึ้นมาอีกครั้งพ้อมกับขวานเงินอีหลีครับ บ่าวหน่อหันมายิกคิ้วให่กับคนอ่านอีกเทือนึง (ตามแผนชัวร์ว่าซั่น)

"อั่นนี้แมนขวานเจ้าบ่" เทวดาถามขึ้น

"มันบ่แม้นมันบ่แม่น" (ตามสูตรเก่าเพิน) เทวดากะเลยบอกว่า

"บ่เป็นหยั๋งเฮาสิลองอีกจั๊กเทือ คิดว่าสิแม่นต่อไปนี่ เพราะว่าเฮากะเริ่มสิเมื่อยแล้ว อีกอย่างเฮาซังท่าฮ้องให่ของเจ้าพะนะ" เทวดามุดเทือที่สามบ่โดนกะโผล่ขึ้นมาพ้อมกับขวานเหล็กด้ามไม้เก่าของบ่าวหน่อ

"แม่นด้ามนี่บ่หล่ะ" ทางบ่าวหน่อเพินเตรียมการมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

"แม่นครับขวานเหล็กนี่หล่ะขวานผม ฮักหลายแม่นด้ามหล่อนปานใด๋กะฮั๊กฮั๊กแฮ้งแฮงว่าซั่น" เทวดาได้ฟังดังนั้นกะเลยคิดว่า

"โอ...เพินนี่เป็นคนฮู้ผู้ดีเด๊หนิ ซื่อสัตย์สุจริต บ่อยากได้ของที่บ่แม่นของเจ้าของ

"เทวดาเลยเว้าขึ้นว่าเฮาเห็นโตเป็นคนดีฉะนั้นเฮาสิมอบขวานทองกับขวานเงินให่นำ ไป กลับบ้านเจ้าได้แล้ว" เข้าตามแผนทุกประการครับ บ่าวหน่อสู่อยู่แอ๊กๆถืกใจเพินหลายกะยังหว่า

หนึ่งเดือนต่อมา....บ่าวหน่อกับภรรยา(เมีย)เพินได้พากันไปย่างเหล่นริมหนองน้ำ รำลึกความหวานโรแมนติก ย่างแบบได๋กะบ่ฮู้ ภรรยาบ่าวหน่อได้มื่นตกลงหนองน้ำ (อั่นนี้นิทานเด้อ 5555) บ่าวหน่อเฮ็ดหยั๋งบ่ถืกไห่สั่นแหล่วครับ ยากเทวดาผู้เก่าอีก

"แม่นหยั๋งอี๊กมาให่เฮ็ดหยั๋ง" เทวดาถามขึ้น

"เมียผมตกน้ำครับ ดังจ๋อมเลย ซอยผมแน"

"เอ๊าๆๆเซาไห่ได้แล้วเฮาสิซอยเดี๋ยวนี้หล่ะ" ว่าแล้วเทวดากะมุดลงน้ำทันที บ่ถึงนาทีเทวดาโผล่ขึ้นมาพ้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาคล้ายๆน้องพอลล่า คือคั๊กคือแนปานว่าน้องพอลล่า เทเล่อร์ เอาโล้ด

"ผู้หญิงคนนี้แม่นภรรยาเจ้าบ่" เทวดาถามขึ้น ฝ่ายบ่าวหน่อเมื่อเห็นดังนั้นยิ้มปุ้ยเลยท่านผู้อ่าน

"แม่นแล้วครับนี้หล่ะภรรยาของผมว่าซ้าน ฮ่าๆๆๆ" ฝ่ายเทวดาได้ยินดังนั้นสูนถ่อนแหล่วครับ

"โห้ ...เดียวนี่เจ้าเป็นคนแบบซี้แล้วบ่ เจ้าบ่ซื่อสัตย์คือเก่า

" ทางบ่าวหน่อได้ยินจั่งซั่นกะเลยฟ้าวเว้าขึ้นว่า

"ขออภัยครับท่านเทวดาตามความคิดผมถ้าแม่นผมตอบว่าบ่แม่น ท่านเทวดากะคือสิดำลงไปพ้อมกับผู้สาวหน้าตาคล้ายน้องจีจ้า (ที่บ่าวรุทธิ์ปลื้ม บุ๊ย) ถ้าผมปฏิเสธท่านกะสิดำลงไปใหม่ สุดท้ายกะคือสิดำลงไปพ้อมกับนำภรรยาโตแท้ผมขึ้นมา ผลสรุปผมคิดว่าท่านกะสิมอบผู้หญิงสองคนให่ผมนำ ในฐานะผมบ่ตั๋วผมซื่อสัตย์ ลำพังผมมีเมียผู้เดียวอาชีพตัดไม้ขายกะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องยากอยู่ ฉะนั้นผมเลยตอบว่าแม่นตั้งแต่คนแรก" ป๊าดดดเหตุผลเพินแหมะ (ห้ามลอกเลียนแบบ ฮ่าๆๆๆ) เห็นสาวพอลล่าบ่ได้ฟ้าวฮับเอาเลย ฮ่าๆๆไปเคลียร์กันกับโตแท้เอาพะนะ

นิทานเรื่องนี้สอนอีหยั๋ง
สอนว่าเมื่อใดที่ผู้ซายขี้ตั๋ว แสดงว่าผู้ซายคนนั้นต้องมีเหตุผลจำเป็นในการตั๋วและมีเจตนาดีอย่างแน่นอน5555

ปล. อั่นนี้เป็นนิทานเนาะครับ อย่าคิดหยั๋งผมต้องการให่คลายเครียดกันท่อนั้น ความเป็นจริงแล้วการฮักเดียวใจเดียว เอาใจเขามาใส่ใจเฮา เป็นสิ่งประเสริฐแท้ครับ





ไปอ่านพ้อนิทานเรื่องนึงครับจาก วิชาการ ดอทคอม
(ออกแนวขำดีคือกันเลยนำมาแต่งแปลงเพิ่มตามสไตล์อีเกียแดง)

นิทานเรื่อง ไม่คิดเอาเสียเล๊ยยย..

..โดนนานมาแล้วยังมีกบวิเศษโตหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าซึ่งเป็นป่าดงดิบซึ่งห่างจากป่าละเมาะเข่าไปอีก ลึกลับยากที่สิมีมนุษย์หรือว่าสัตว์ชนิดใดเดินทางไปเถิง แต่แล้วอยู่มามื้อหนึ่งครับกบวิเศษโตนี่ได้ยินเสียงสัตว์สองชนิดแล่นไล่กวดกันมาอย่างเอาเป็นเอาตาย มันคืออีหยั๋งน้อหนิ.. ที่แท้มันคือหมีตัวบักใหญ่กำลังไล่ล่ากระต่ายเจ้าเล่ห์เพื่อนำเฮ็ดดินเนอร์ยามมื้อแลงครับ

" พวกเจ้าเทิงสอง หยุดเดี๋ยวนี่ " เสียงกบวิเศษฮ้องบอกสัตว์ทั้งสองให้หยุดตอบข้อซักถามเพราะตลอดชีวิตของมันบ่เคยพ้อหมีและกระต่ายแล่นไล่กันมาก่อน

"พวกเจ้าทั้งสองแล่นกวดกันแทบเป็นแทบตายเพราะเหตุอีหยั๋งหนิ" กบวิเศษถาม

"บักหมีมันสิจับข่อยเฮ็ดอาหารแลงแม๊ะท่าน" กระต่ายตอบลิ้นห้อยด้วยความเมื่อยยังบ่เซา

"อ๋อ เป็นแบบซี้นี้เอง เอาเถาะ อย่าเฮ็ดอีหยั๋งกันเลย เฮาสิให้พรวิเศษเจ้าโตละ 3 ข้อหวังว่าคงสิซอยลดความขัดแย้งลงได้เนาะ" ทั้งหมีและกระต่ายรับคำด้วยความยินดี

เจ้าหมีเป็นฝ่ายขอพรก่อน มันคิดอยู่เป็นนาทีจึงบอกไปว่า

" ข่อยอยากให้หมีทั้งเหมิดป่าแห่งนี้ยกเว้นโตข่อยเป็นโตเมียเทิงเหมิด " ว่าซั้น..เว้าแล้วกะขนคิงลุกด้วยความสยิวตีคิ้วอยู่ ฮึ๊บฮึ๊บ... บ่โดนกลิ่นสาบสาวจากหมีโตเมียกะหอมฟุ้งไปทั่วป่า

เถิงทีกระต่ายน้อยขอบาดหนิ กระต่ายผู้น่าหลูโตนขอแค่หมวกกันน็อคหนึ่งใบพะนะ งึดหลาย บักหมีสู่อยู่แอ๊กๆ ถืกใจเพินหลาย

" บักกระต่ายปัญญาอ่อนหน้าโง่เอ๊ย..ถ้ามันขอเงินสักพันล้านมันสามารถซื้อหมวกกันน็อคได้หลายล้านใบ สิเอาไปเหล่นหุ้น ซื้อดาวเทียมกะได้ แต่ช่างเถาะมันบ่แม่นธุระของเฮา" หมีพึมพำออกมา หมีบ้าตัณหาได้โอกาสขอพรข้อ2 ซึ่งมันคิดอยู่โดนคักประมาณ 3นาทีก่อนสิบอกว่า

" ข่อยปรารถนาให้หมีทุกโตในป่าถัดไปกลายเป็นโตเมียทั้งสิ้น" เว้าแล้วกะน้ำลายไหลยืดด้วยความสยิว คันมีหมีโตเมียเพิ่มอีกนับร้อยโตมันสิตั้งฮาเร็มหมีว่าซ้าน.. (ป้าดแผนการช่างเข้าท่าทีเดียวเชียว)

ส่วนกระต่ายน้อยขอพรข้อ2 มันขอมอเตอร์ไซต์หนึ่งคันพะนะ (งึดหลายอีกแล้ว) เมื่อได้สมปรารถนามันแล้วกะสวมหมวกกันน็อคกระโดดขึ้นคร่อมและสตาร์ทรถทันทีเลย

บักหมีใหญ่ขอพรข้อสุดท้ายบาดหนิ

"ข่อยปรารถนาสิให้หมีทุกโตในโลก ยกเว้นโตข่อยกลายเป็นหมีโตเมียทั้งเหมิด ว่าซ้าน "

...โอ .. มันแทบสิถ่าบ่ไหวแล้ว...เทิงเว้าเทิงน้ำลายแตกห่าวอยู่โด่งๆ สั่นขนด้วยความสยิว แต่แล้วบักหมีกะเถิงกับช็อค เมื่อได้ยินกระต่ายน้อยขอพรข้อที่ 3 ก่อนสิตีค้วป๊อกๆให่สองเทือพ้อมกับบิดรถรถมอเตอร์ไซค์หนีไปในทันที


พรข้อที่3ที่กระต่ายน้อยขอกะคือ

>>>>>ข่อยขอให่บักหมีโตนี้มันเป็นเกย์<< (..ว่าซ้านนนนน..) นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...คิดให่ดีก่อนแนก่อนสิเว้าก่อนสิว่า คิดให่รอบคอบ มีสติ อย่าสะคึดต๊ะแนวเดี๋ยวหลายเลยกลายเป็นพังเพราะกิเลสตัณหา เดี๋ยวสิคือบักหมีสั่นดอกว๊า...


(ยังไม่มีชื่อเรื่องครับ)

กาลครั้งหนึ่งโดนมาแล้วมีอีเกีย (ค้างคาว) 3 โต อาศัยอยู่เทิงกกตาลต้นเดียวกัน
มีอีเกียริวน้อย มีอีเกียบ่าวรุทธิ์ และกะอีเกียชราจารย์ใหญ่

...ปรกติอีเกียเทิง3โตนี่ สิเปลี่ยนเวรกันออกไปหาเลือดสดๆจากคอผู้สาวงามๆ มาแบ่งปันกันกินเพื่อความเป็นอมตะ และมื้อนี้เป็นเวรของเจ้าอีเกียริวน้อยต้องออกไปหาดูดเลือดจากคอผู้สาว อีเกียริวน้อยออกไปโดนเติบ....จนว่าโดนบักคัก กะยังบ่เห็นกลับมา แต่ที่สุดแล้วอีเกียริวน้อยกะกลับมา...

" ริวน้อยขอโทษหลายๆที่หาเลือดมาให่บ่ได้ ริวน้อยคิดว่าช่วงนี้เป็นหน้าแล้งผู้สาวเลยพากันหนีไปกรุงเทพเหมิด " (บุ๊ย..คิดคือคักเนาะหมอหนิ) อีเกียริวน้อยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว

" โตหนะ ยังด้อยประสบการณ์หลาย เดี๋ยวอ้ายออกไปเอง..." เสียงอีเกียบ่าวรุทธิ์บอก พ้อมกับบินเซิ่นออกไป.. แล้วออกไปโดนคักบาดหนิ..โดนกว่าอีเกียริวน้อยอีก... แล้วกะฟาวล์กลับมาบ่ได้เลือดแม้แต่หน่อย ..

" สงสัยท่านชราจารย์ใหญ่ต้องซอยพวกเฮาแล้วหละครับ" อีเกียบ่าวรุทธิบอก ...ว่าแล้วอีเกียชราจารย์ใหญ่กะจำต้องบินออกไป โดยแสยะยิ้มอยู่ในใจว่า " ปะสาสูน้อประสบการณ์ช่างอ่อนด้อยหลาย มันต้องเฮาพี้..ถ่าเบิ่งผลงานบักหล่า " เว้าพ้อมตีปีกพ้อม...

.. บ่น่าเชื่อ....บ่เถิง3นาที ท่านอีเกียชราจารย์ใหญ่ก็กลับมา พร้อมกับเลือดสดๆ เต็มปาก....

" ป้าด..เจ้าเฮ็ดได้จั่งได๋หนิ ท่านผู้ชรา (แห่ะๆ) ..^_^.. " อีเกียทั้งสองฮ้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ งึดหลายว่าซั่น...

...ท่านอีเกียชราจารย์ใหญ่กล่าวอย่างเคร่งขรึม.....

" พวกโตเห็นต้นไม้อยู่ด้านหน้านั่นบ่ " เสียงอีเกียชราจารย์ใหญ่ถาม

" เห็นครับท่าน " อีเกียบ่าวรุทธิ์กับอีเกียริวน้อยตอบ

" นั่นแหละ...............เฮาบ่เห็นว๊ะ "

บ่าวรุทธิ์ ..กาละมังคนเอ๊ยยย..ฮ่าๆๆๆ

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 8


ตอน กุศลกรรม 2

" ธรรมทั้งหลายที่บุคคลได้กระทำไว้ ด้วยกาย วาจา และใจย่อมจะมีผลเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัตินั้นเอง โดยไม่จำกัดด้วยกาลเวลา กรรมที่ได้กระทำแล้วย่อมส่งผลต่อบุคคลนั้นทันที เช่น คิดดี พูดดี ทำดี ก็ให้ผลเป็นความสุขแก่ผู้นั้นทันที แต่หากคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็ให้ผลเป็นความทุกข์แก่ผู้นั้นทันทีเช่นกัน โดยกฏแห่งจิตตนิยาม ว่าด้วยธรรมชาติของจิต เมื่อจิตประกอบไปด้วยเจตสิก มีการปรุงแต่งคิดนึกด้วยอกุศลเจตนา ก็ย่อมจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ทำจิตของบุคคลนั้นให้เศร้าหมองทันที "

..ค่ำคืนแห่งรัตติกาลสว่างไสวไปด้วยมวลหมู่ดาว พร่างพราวระยิบระยับอวดกันเปล่งประกายแสงแข่งกันกับดวงจันทร์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอแสงสีเหลืองนวลสุกใสเหมือนถูกอาบไปด้วยทองเหลืองแผ่นใหญ่ มองผ่านเข้าไปข้างในเห็นเจ้ากระต่ายสีขาวตัวน้อยชะเง้อคอจ้องมองขึ้นไปยังข้างบนชื่นชมในแสงนวลของจันทร์เจ้า เปรียบประดุจในความรักของชาวนาหนุ่มผู้ลุ่มหลงเฝ้าฝันจะหมายปองเทพธิดาดอกฟ้าแห่งกรุงไกล แต่ไฉนใยกลับต้องร้อนลุ่มเหมือนถูกไฟสุมทรวงเมื่อสิ่งที่หมายปองนั้นสุดที่จะเอื้อมไขว่คว้าถึง สายลมที่แผ่วเบาช่วยพัดพาใบไม้ให้ไหวพริ้วไปตามแรงมองดูผ่านแสงนวลของจันทร์เหมือนกับว่ากำลังเบิกบานฤทัยขยับกายโยกย้ายส่ายลีลาไปตามจังหวะเสียงเพลงที่บรรดาหริ่งเรไรร่ำร้องประชันกันขึ้นอยู่เป็นระยะๆ กลิ่นของดอกไม้ยามค่ำคืนหอมตลบอบอวลแผ่ขจรไปทั่วบริเวณ เหมือนกับว่ายั่วยุสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างให้ลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์เฉกเช่นชายหนุ่มร่างกำยำละเมอเพ้อหากลิ่นอายอันหอมกรุ่นของเนื้อนางก็มิปาน....


/////////////////////////////////////////////////////////////


..แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนส่องประกายออกมานอกหน้าต่างมองเห็นเงาสะท้อนของผู้ที่อยู่ภายในห้อง เสียงคุยกันจ้อกแจ้กจอแจพร้อมกับเสียงหัวเราะดังเล็ดลอดออกมาตามสายลมที่พัดโชยมาแผ่วเบา

" โป้งง ... โป้งง.." เสียงของคนจุดประทัดดังแว่วมาจากภายในหมู่บ้านทำให้สามเณรตัวน้อยทั้งสามหันหน้าสบสายตากันพร้อมกับยิ้มออกมา พลางนึกย้อนไปถึงเมื่อปีที่แล้วที่พวกเขาวิ่งอ้อนขอเงินแม่ไปซื้อประทัดมาจุดเล่นในก่อนวันออกพรรษา บางทีก็นึกซนไปมากกว่านั้น เมื่อได้ประทัดมาแล้วก็ชอบที่จะเอามาเล่นทำเป็นระเบิดเวลา คือใช้หนังยางมัดประทัดเข้ากับธูปโดยที่แนบไส้ประทัดที่ข้างในมีชนวนของดินปืน(วัตถุไฟไว) เข้ากับลำธูป หลังจากนั้นกะจุดธูปนำไปปักไว้ที่ใต้ถุนบ้านหรือที่ไหนก็ตามแต่ นั่งรอเวลาที่ไฟไหม้ธูปลงไปถึงไส้ประทัดอย่างใจเย็น เมื่อถึงเวลาที่ไฟไหม้ธูปลงมาถึงไส้ของประทัดมันก็จะ ...." โป้งง ".... สมใจนึกทันทีเมื่อคนที่เราคิดจะแกล้งตกใจจนร้องเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้ง จนต้องเผลอตะโกนด่าอวยพรหาไอ้คนที่คิดพิเรนทร์ทำให้หัวใจแทบวายปราณออกมาเสียงดังลั่น (ทุกวันนี้ประทัดดูจะพัฒนาการอัดแน่นยิ่งขึ้น เช่นประทัดสามเหลี่ยมที่มีอานุภาพการระเบิดรุนแรงเอาการ ช่วงออกพรรษาหรือลอยกระทง เรามักจะได้ยินข่าวอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือหน้าจอทีวีอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับผู้ที่ถูกประทัดแตก-ระเบิดใส่มือ อันนี้ต้องควรระวังนะครับ)


สามเณรตัวน้อยหันกลับมาให้ความสนใจกับกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกันขึ้นอีกครั้ง

" เณรจักรโตต่อแผ่นให่มันงามๆแนเด้อ เอาสลับสีกันมันค่อยสิเป็นตาเบิ่ง เณรขวัญโตตาบฮอยขาดแผ่นนั้นให่เฮานำแน เอาสีเดียวกันนั่นหล่ะ " เสียงสามเณรไผ่ศธรบอกเพื่อนรักทั้งสอง

" เฮาหน่าสิเฮ็ดหน่วยละสองโหลเนาะ มันสิได้สูงๆเวลาปล่อยขึ่นไปมันจั่งค่อยสิมีโอกาสลอดห่วงได้ง่าย " สามเณรขวัญชัยออกความเห็นพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้ากระดาษแผ่นที่มีรูขาดอยู่ตรงกลางเพื่อนำมาปะให้ดูดีดังเดิม

" มันบ่แม่นจั่งซั่นเด้เพิน กติกาเพินให่เฮ็ดหน่วยละโหลส่ำกันเหมิด บ่เป็นหยั๋งดอกเฮาเฮ็ดพอได้มีส่วนร่วมนำเพินซือๆดอกหลวงพ่อพระครูเพินบอกว่าจั่งซั่นเด๋ เข่าห่วงหรือบ่กะซางมันเถาะ แต่เฮาคิดเห็นภาพกะเป็นตาได้ลุ้นอยู่เด๊ะหล่ะ ฮ่าๆๆ " สามเณรไผ่ศธรหัวเราะร่าออกมา


กิจกรรมที่เขาทั้งสามร่วมกันทำอยู่ในขณะนี้ก็คือ การทำโคมลอย (โคมไฟ) ที่จะใช้ปล่อยหลังวันออกพรรษาในช่วงเวลาเย็น ซึ่งทางหลวงพ่อพระครูฯท่านได้ร่วมประชุมกับทางกำนัน และชาวบ้านร่วมกันจัดการแข่งขันขึ้น ซึ่งทางวัดอุดมคีรีเขตจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆปีในช่วงออกพรรษา เพื่อเป็นการจัดกิจกรรมให้ความสนุกสนานกับชาวบ้านหลังจากที่พวกเขาหมดภาระจากการทำไร่ทำนาในช่วงนี้ การแข่งขันนั้นจะจัดขึ้นในวันแรม๑ค่ำช่วงเย็น โดยในช่วงเช้าจะเป็นการทำบุญตักบาตรเทโว รับศีล ฟังเทศน์และถวายกัณฑ์เทศน์ สำหรับกติกานั้นก็คือใครก็ตามที่สามารถบังคับโคมไฟให้เข้าในห่วงที่อยู่ข้างบนได้ก็จะเป็นผู้ชนะไป ในกรณีที่มีผู้เข้าหลายคนก็ต้องมาตัดสินอีกทีว่าโคมไฟของใครเข้าได้สวยกว่าโดยที่ไม่ชนห่วงเลย ให้เป็นอันดับที่หนึ่งและลดหลั่นลงมาตามลำดับ ส่วนของรางวัลนั้นทางหลวงพ่อพระครูฯและทางกำนันเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง โดยจะมีตั้งแต่อันดับที่ 1-5 ต้องถือว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานเป็นอย่างมาก เพราะเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้านที่มาพร้อมเสียงเชียร์คอยลุ้นกันจนตัวโก่ง ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีโคมไฟทั้งจากของชาวบ้านและทางวัดส่งเข้าร่วมกิจกรรมเกือบ 30 ลูกได้ สำหรับปีนี้ทางวัดน่าจะมีการส่งเข้าร่วมอยู่ที่ 6 ลูก โดยใน6ลูกนี้ก็เป็นของสามเณรตัวน้อยทั้งสามที่กำลังนั่งขะมักเขม้นทำช่วยกันอยู่ตอนนี้2ลูก

" ฟ้าวเฮ็ดฟ้าวแล้วเพินสิได้นอน เมื่อยอยู่เหมิดมื้อเลย มื้อเว็นนี้กะนั่งเฮ็ดหมากอีโฮง กว่าสิแล้ว" สามเณรไผ่ศธรกระตุ้นเพื่อนรักให้เร่งมือแปะกาวต่อแผ่นกระดาษให้เร็วขึ้น ความปวดเมื่อยจากช่วงกลางวันก็มีมากอยู่แล้วหลังจากที่ต้องนั่งทำเครื่องบินลำใหญ่เป็นเวลานานๆ
( หมากอีโฮง เป็นภาษาอีสานที่ใช้เรียกทางถิ่นของผู้เขียนเอง และไม่แน่ใจว่าพื้นที่อื่นๆจะเรียกเหมือนกันหรือเปล่านะครับ ในช่วงออกพรรษาพระภิกษุหรือสามเณรก็จะทำสิ่งประดิษฐ์ที่ว่านี้คนละอย่างไว้ไปห้อยประดับที่ศาลาการเปรียญหลังใหญ่ แล้วแต่ใครจะออกแบบให้เป็นรูปอะไรหรือลักษณะอย่างไรก็ได้ ทำจากไม้ไผ่ประมาณนั้นครับ ส่วนมากที่เห็นทำกันอยู่มากก็จะเป็นรูปเครื่องบิน รูปดาว แปะปิดข้างนอกด้วยกระดาษแก้วหลากสีสันสวยงาม ทำเป็นช่องเปิดได้ไว้ใส่หลอดไฟข้างใน เวลากลางคืนจะดูสวยงามมาก)






สายลมอันแผ่วเบาช่วยพัดพาความเย็นเข้ามายังทางหน้าต่าง สัมผัสกับร่างที่ไร้ซึ่งสิ่งกันหนาวปกคลุม คงมีก็เพียงแต่เสื้ออังสะตัวน้อยสวมใส่อยู่ทำให้ร่างของสามเณรไผ่ศธรถึงกับสั่น เพิกสายตาออกจากงานที่วางอยู่ตรงหน้า แววตาสีหน้ายิ้มละมุนเมื่อเห็นแสงจันทร์ยามค่ำคืนเหลืองนวลน่าชมชิดพิศมัยยิ่งนัก จนต้องผละลุกขึ้นเดินไปยังขอบหน้าต่าง มองเห็นภายนอกได้กระจ่างตาท่ามกลางแสงจันทร์ แม้จะยังเหลืออีก 2วันจะถึงวันออกพรรษาแต่พระจันทร์ก็ทอแสงเหลืองนวลอร่ามตาจนอดที่จะมองหาเจ้าของแสงมิได้ พลันสายตาสามเณรตัวน้อยก็ไปสะดุดเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่งที่อยู่บนท้องฟ้าจนต้องเผลอยิ้มออกมา


" ตั๊บบ... ตั๊บ.. ตั๊บ... ตั๊บ.. เร็ว.. เร็วแนเว๊ยย.. มันสิลงแล้ว " หูจับสัญญาณฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งได้สายตาเหลือบมองเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ถนนนอกวัด พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาเมื่อได้ยินเด็กกลุ่มนั้นร้องตะโกนบอกเพื่อนให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

" เหอะ.. เหอะ.. พอปานกันกับเฮาแต่ก่อนเนาะ แล่นนำโคมจนว่าตกคันแทกลิ้งอยู่ในป่าเข่าจนว่าเปียกม้อดยอด " สามเณรตัวน้อยหวนนึกถึงภาพตัวเองเมื่อครั้งก่อนถึงกับต้องยิ้มประกายออกมา ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามากระทบร่างจนมองให้เห็นรูปใบหน้าตอนนี้เปล่งประกายไปด้วยรัศมีแห่งเปลวทอง...


....สายลมยามไกล้รุ่งสาง หอบพัดพาความหนาวเย็นจากภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเข้ามากระทบกับต้นสนกลุ่มใหญ่จนเกิดเป็นเสียงดัง

..วิ๊ววว)).... วี๊ดดด)).... วิ๊วววว))....วี๊ดดด))... อยู่เป็นระยะคล้ายกับเสียงของภูตผีปีศาจที่กรีดร้องอย่างโหยหวนเรียกโหยหาขอส่วนบุญส่วนกุศล ทำให้คนที่ได้สำผัสกับเสียงนี้ถึงกับต้องขนลุกผวาอยู่นัยๆ ..ดาวคู่หนึ่งทอประกายแสงยามไกล้รุ่งอรุณอยู่ในจุดตำแหน่งที่ไกล้กันเสมือนชายหนุ่มที่กำลังออดอ้อนเว้าวอนคนรักอยู่มิห่างกาย

" ..เอ๊ก.. อี๊.. เอ๊ก... เอ๊กกก))...เอ๊ก... อี๊ เอ๊ก.. เอ๊กกก)).. " เสียงไก่ขันขานรับกันขึ้นอยู่เป็นจุดๆในบริเวณหมู่บ้านเหมือนจะเปล่งเสียงร้องประกวดประชัน เพื่อชิงตำแหน่งหาผู้ที่ชนะบนเวทีระดับใหญ่ในรายการชุมทางเสียงทองทางช่อง7สี เสียงกระดิ่งดังก้องกังวานเป็นระยะๆจากคอของเจ้าทุยเมื่อมันส่ายหน้าขยับต้นคอ คงพาลนึกรำคาญเสียงของเหล่านักร้องลูกทุ่งในรายการชื่อดัง ที่ประกวดประชันกันแบบไม่รู้เวล่ำเวลา เป็นการรบกวนเวลานอนอันสุนทรีย์ของมันจนถึงกับจะอดรนทนไม่ไหว ต้องพ่นเสียงเบื่อหน่ายน่ารำคาญออกมาทางจมูกจนเกิดเสียงดังอยู่ " .ฟืด...ฟืด.. "




เครื่องขยายเสียงดังแว่วมาจากวัดอุดมคีรีเขตแต่เช้า วันนี้เป็นวันที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งที่เหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ที่ใฝ่กุศลผลบุญต้องควรปฏิบัติกันอยู่เป็นทุกๆปี นั่นก็คือการทำบุญตักบาตรเทโว โดยการตักบาตรเทโวนั้นเหล่าพุทธศาสนิกชนมีหลักความเชื่อก็คือเป็นวันที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมายังเทวโลก หลังจากที่เสด็จไปประทับจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาที่ได้กำเนิดเป็นเทพบุตรอยู่ในชั้นดุสิต จนพระพุทธมารดาได้บรรลุโสดาปัตติผล ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น15 ค่ำเดือน11แล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสนคร พอรุ่งขึ้นในวันแรม 1ค่ำเดือน11 ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่ เพราะไม่ได้เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานถึงสามเดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้นจึงได้ชื่อว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ ต่อมามีการเรียกกร่อนไปจึงเหลือเพียงตักบาตรเทโว

บนศาลาการเปรียญหลังใหญ่ในขณะนี้แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยเหล่าพุทธบริษัท (อุบาสก-อุบาสิกา) ที่พร้อมใจกันมาปฏิบัติธรรมโดยอาศัยศาลาการเปรียญหลังใหญ่แห่งนี้เป็นที่หลับนอน สายออกมาหน่อยทางชาวบ้านหนองนางามต่างก็ทะยอยกันออกมาที่วัด ในวันนี้ป้าไหมและสายใยสวมซิ่นไหมผืนงามจนสามเณรไผ่ศธรต้องแอบยืนยิ้มอยู่คนเดียว ศาลาการเปรียญหลังใหญ่ดูจะคับแคบลงไปถนัดตาเพราะศรัทธาจากชาวบ้านหนองนางามนั้นมีมากมาย

หลังจากที่หลวงพ่อพระครูฯพร้อมด้วยพระภิกษุ สามเณรร่วมกันทำวัตรเช้าในพระอุโบสถเสร็จแล้วต่างก็มาพร้อมกันที่ศาลา หลังจากนั้นก็เป็นการทำบุญตักบาตรเทโวที่ลานวัดด้านล่าง ส่วนอาหารที่ชาวบ้านนำมาทำบุญตักบาตรก็คือข้าว ข้าวต้มมัดนั่นเอง เสร็จแล้วก็เป็นการแสดงธรรมเทศนาจากหลวงพ่อพระครูที่บนศาลาหลังใหญ่ และวันนี้สามเณรตัวน้อยก็สังเกตุเห็นบรรดาเพื่อนๆของเขาในตอนที่เคยเรียนอยู่ชั้นประถมด้วยหลายคน " ขวัญชนก " วันนี้เธอมาในชุดที่สวยงามและสายตาของเธอยังจ้องมองมายังเขาด้วย จึงต้องนั่งก้มหน้าหลบสายตาของเธอในทันทีทันใด กิจกรรมทางพระพุทธศาสนามีอยู่ตลอดทั้งวันจนเวลาล่วงเลยเข้ามาในช่วงบ่ายคล้อย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านตั้งหน้าตั้งตารอคอยดูการแข่งขันการปล่อยโคมลอดห่วง ซึ่งปีนี้ดูจะคึกคักเช่นทุกปีที่ผ่านมา มีผู้ที่ลงชื่อแข่งขันเกือบ30 คน โดยทางคณะกรรมการผู้จัดการแข่งขันต้องจัดลำดับคิวให้เป็นรายบุคคลไป สำหรับสามเณรตัวน้อยทั้งสามรูปได้อยู่ในลำดับที่ 5และ18 และทางสามเณรไผ่ศธรยังได้ลุ้นช่วยทิดนัน(พี่เขย)อีกทางด้วย เนื่องจากทิดนันเองก็ได้ลงชื่อเข้าร่วมในครั้งนี้

บรรยากาศในการแข่งขันตอนนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนยืนเนืองแน่นทั่วบริเวณลานวัดด้านหน้าศาลาหลังใหญ่ ห่วงถูกเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ในช่วงเที่ยง มองเห็นสูงขึ้นไปหลายเมตรทีเดียว งานนี้คงได้วัดฝีมือความสามารถกันหน่อยว่าใครจะบังคับเจ้าโคมลอยของตนให้ขึ้นไปแบบตรงดิ่งโดยให้เข้าในห่วงกลมมนที่ทำด้วยลวดเส้นใหญ่อยู่ข้างบน แต่วันนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเนื่องจากกระแสลมแรงพอสมควร

" ต่อไปกะขอเชิญทางผู้เข่าแข่งขันเตรียมความพ้อมเด้อครับ ฮอดเวลากันแล้ว ทางหลวงพ่อพระครูใหญ่เพินกะมานั่งเป็นประธานเบิ่งการแข่งขันนำ ทางกำนันชมเพินกะออกมาแล้วเนาะ ลำดับแรกกะเป็นทิดวีเด้อครับ พ้อมยังน้อ " เสียงตาปั่นมคทายกประจำวัดเป็นผู้ประกาศใส่ไมโครโฟนบอกกล่าวกับผู้แข่งขัน

" เณรขวัญโตพันให่มันแหน่นๆเด้อ ไฟมันค่อยสิบ่ได้ลุกออกก้วงแฮง " เสียงสามเณรไผ่ศธรบอกสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่กำลังนั่งพันไส้ของโคมลอยเข้ากับเส้นลวดที่ถูกขึงพาดผ่านกลางปากห่วงของโคมลอย โดยที่ตัวเขาและสามเณรวีระจักรช่วยกันจับลูกโคมยกสูงขึ้นไม่ให้พับลงมาติดกับน้ำมัน ไส้ที่ใช้นั้นทำด้วยผ้าเก่าที่ขาด (ผ้าเหลืองที่ไม่ได้ใช้แล้ว) ฉีกเป็นริ้วแล้วแช่ไว้กับน้ำมันก๊าด ....เสียงเฮจากผู้คนดังขึ้นหลังจากที่โคมลอยลูกแรกถูกปล่อยขึ้นไปแต่ต้องพลาดเป้าห่างไปเยอะเลย เมื่อโดนกระแสลมพัดเขวออกจากวิถีเป้าหมาย ไล่ลำดับมาเรื่อยๆก็ยังไม่มีผู้ที่บังคับโคมลอยของตนเข้าห่วงได้ และก็มาถึงคิวของสามเณรตัวน้อยทั้งสาม งานนี้ลูกแรกมอบให้สามเณรวีระจักรเป็นผู้บังคับตอนปล่อยออก ไส้โคมถูกจุดขึ้นโดยที่เพื่อนรักทั้งสองช่วยพยุงลูกโคมให้ตรง เปลวไฟและควันที่ปากปล่องโคมลอยเป็นแรงขับดันช่วยทำให้ลูกโคมตั้งตัวตรงและพร้อมจะลอยขึ้นได้ทุกเมื่อ

" เล็งดีๆเพิน ถ่าจังหวะลมค่อยก่อนี้จักหน่อยก่อน " สามเณรไผ่ศธรบอกเพื่อนรักพร้อมกับยืนพยุงลูกโคมอยู่ข้าง

ป้าไหม สายใย ทิดนัน ลุงเลิศ ป้าอ้อย ทิดจวน ต่างก็ลุ้นเอาใจช่วยพวกเขา







" ตึงมือคักแล้ว เฮาปล่อยเด้อเพิน " สามเณรวีระจักรขอความเห็นจากเพื่อนพร้อมกับชำเลืองมองไปที่ห่วงข้างบนก่อนที่จะปล่อยมืออกจากปากโคมลอย มันพุ่งขึ้นตรงด้วยความเร็วเหมือนวิถีจะเข้าเป้าแต่ก็พลาดจนได้เมื่อขึ้นสูงไปข้างบนต้องเจอเข้ากับกระแสลมจนทำให้โคมลอยของพวกเขาเปลี่ยนทิศทางไป การแข่งขันดำเนินมาจนเวลาพลบค่ำ สามเพื่อนรักได้ลุ้นอีกครั้งในลำดับที่17 ครั้งนี้สามเณรไผ่ศธรขอเป็นผู้บังคับเอง แต่เขาก็ทำได้เพียงหวาดเสียวเท่านั้นเมื่อโคมลอยชนเข้าที่ขอบห่วงจนเกือบจะมุดเข้าอยู่รอมร่อแต่กระแสลมก็พัดเขวออกนอกห่วงอีกจนได้ ผลการแข่งขันจบลง ปีนี้มีผู้ที่บังคับโคมลอยเข้าในห่วงได้ถึง4ลูก โดยในสี่ลูกนั้นเป็นของหลวงพี่ทางวัดลูกหนึ่ง ของทิดนันพี่เขยสามเณรไผ่ศธรลูกหนึ่ง แม้กิจกรรมจะจบลงไปแล้วแต่มันก็สร้างรอยยิ้มความสุขและความประทับใจให้กับสามเณรตัวน้อยทั้งสามอยู่ลึกๆภายใน ถึงแม้พวกเขาจะพลาดหวังแต่เขาก็อิ่มใจที่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในครั้งนี้..

นิยาย กรรมลิขิต 7


ตอน สายเลือดนักสู้แห่งทุ่งกุลา 2



"มนุษย์มีกรรมเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่เปลี่ยนแปลงกรรมได้ "


...เพราะมนุษย์มีความคิด ความรู้สึก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดี หรือจะชั่ว ไม่ว่ากรรมเก่าเราจะทำให้ชีวิตชาตินี้เราจะตกทุกข์ได้ยากเพียงใด เราก็สามารถอดทน ขยัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้เช่นกัน....

...ตายจากชาติที่แล้ว เกิดมาใหม่ในชาตินี้ ก็เปรียบเหมือน การนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ เมื่อวาน ขี้เกียจ ไม่ไปเดินเร่ขายของ จึงไม่มีรายได้ แต่วันนี้ตื่นมาพร้อมความไม่มีเงินเหมือนเดิม แต่ตั้งมั่นว่าจะขายของ และก็ออกเดินเร่ขายของ จึงทำให้วันนี้มีเงิน นี่คือการเปลี่ยนแปลงกรรม หรือเรียกว่า ลิขิตชีวิตตัวเองจากมานะของตนเอง โดยปราศจากการอ้อนวอนแล้วนั่งนอนรอผู้บันดาลครับ.....

...ดังนั้นมนุษย์ไม่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่มีวิถีชิวิตเป็นรูปแบบ ไม่สามารถทำอะไรได้ เกิดมาชาติหนึ่ง รู้จักแต่เพียง กิน ถ่าย ผสมพันธุ์ นอน เท่านั้นเอง
แต่ก็มีมนุษย์หลายคน ทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน และบ่นถึงชีวิตตัวเองว่าเกิดมาอาภัพ ทุกสิ่งไม่เพรียบพร้อมได้แต่ อ้อนวอนผู้บันดาล แล้วนั่งงอมืองอเท้ารอไปวันๆ ...

(ดังนั้น จึงมี ผู้รู้ เปรียบเทียบการมาการไปของคน ไว้ 4 แบบ)

1. มาสว่าง ไปสว่าง - อดีตทำดี ปัจจุบันก็ยังทำดี
2. มาสว่าง ไปมืด - อดีตทำดี แต่ปัจจุบันทำชั่ว
3. มามืด ไปสว่าง - อดีตทำชั่ว แต่ปัจจุบันกลับใจทำดี
4. มามืด ไปมืด - อดีตทำชั่ว ปัจจุบันก็ยังชั่วเหมือนเดิม

เราเกิดแบบเช่นไร เกิดมาแบบอาภัพ(มืด) หรือเกิดแบบเพรียบพร้อม(สว่าง) เราย่อมรู้ตัวเอง ส่วนปัจจุบัน เลือกดูก็แล้วกัน ว่าจะ ไปแบบอาภัพ(มืด) หรือไปแบบเพรียบพร้อม(สว่าง)

เลือกแบบไหน ก็ทำแบบนั้น เมื่อรู้ว่ากำหนดชะตาตัวเองได้ ก็เริ่มกำหนดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่ทำ แล้วเกิดชาติใหม่แบบอาภัพคงไม่มีใครช่วยได้

(บทความจากมูลนิธิออนไลน์วุทธานันท์)






..สายหมอกยามเช้าตรู่ดูขมุกขมัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พร่างพรมกิ่งใบของต้นไม้ที่ตั้งตัวตรงอยู่สองฟากฝั่งคันนา หรือแม้แต่ต้นข้าวในท้องทุ่งนาเองก็มองดูพราวพร่างไปด้วยสีขาวหม่นปกคลุมทั่วเรียวใบ ตอนนี้ต้นข้าวกำลังแข่งกันตั้งท้องขึ้นมาเองแบบพิศวง โดยหาผู้ที่รับผิดชอบแสดงตัวเป็นผู้ที่กระทำต่อเธอเหล่านี้ไม่ได้เลย แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่แยแสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา และพวกเธอเองก็ยังเฝ้ารอให้สูตินารีเวชผ่านเข้ามาตรวจดูแลให้อยู่เป็นระยะๆ ต้นหญ้าน้อยใหญ่ถูกสายหมอกปกคลุมจนใบแอ่นเอนด้วยน้ำหนักของน้ำ แต่ก็ยังสร้างรอยยิ้มให้กับพวกมันเป็นอย่างดีเพราะสิ่งที่มันได้รับก็คือความสดใสและสดชื่นเสมือนว่าได้รับน้ำทิพย์จากแดนสวรรค์ชะโลมให้ชีวิตและจิตใจของพวกมันเกิดความอิ่มเอม และพวกมันก็ยินดีรับ พร้อมกับเก็บซึมซับน้ำทิพย์เหล่านี้ลงไว้สู่อณูเบื้องล่างผิวพื้นดิน เหล่ากุ้งฝอยตัวเล็กกลุ่มใหญ่ขึ้นลอยตัวชูปากอยู่ในสระน้ำหยอกล้อเล่นกับสายหมอกในยามเช้าอย่างสนุกสนาน โดยที่เจ้าเขียดจะนาน้อยอาภัพนั่งชำเลืองตามองอยู่บนขอนไม้แบบนึกหมั่นไส้ เสียงลูกนกร้องอยู่บนต้นมะขามใหญ่เหมือนสื่อสารบอกกับแม่ของมัน หลังจากรังที่อาศัยอยู่โดนหมอกจับเกาะจนเกิดเป็นเม็ดน้ำไหลย้อยหยดลงเข้าไปข้างในรังสัมผัสกับร่างของมันจนต้องสะดุ้งโหยง งานนี้หัวหน้าครอบครัวคงจะต้องวุ่นวายบินหาคาบกิ่งหญ้าเข้ามาซ่อมแซมที่อยู่เป็นการด่วนอย่างแน่แท้.....







" ..ตั๊บ.. ตั๊บ... ตั๊บ... ตั๊บ.. " เสียงรองเท้าฟองน้ำดังเป็นระยะๆไปตามจังหวะของการก้าวเดินของบุคคลทั้งสอง ที่ตอนนี้กำลังเดินฝ่ากระแสหมอกที่ดูหนาตาจนมองดูสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างแทบจะไม่เห็น เท้าและขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหลังจากที่ต้องเดินฝ่าต้นหญ้าที่เกิดอยู่ตามคันนา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาเลยเพราะสภาพแบบนี้ดูจะชินชาเป็นเรื่องปรกติวิสัยอยู่แล้วนั่นเอง คงจะมีปิดป้องอยู่บ้างก็คือหมวกที่ใส่กันน้ำหมอกยามเช้านั่นเอง


" พ่อบอกว่าอย่ามากะยั้งแอ่วมาจนได้น้ออีนาง " เสียงผู้เป็นพ่อหันกลับไปเอ่ยกับลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังเดินตามหลังผู้เป็นพ่อต้อยๆ โดยที่บ่าของเธอสะพายข้องขนาดกลางไว้สำหรับใส่ปลาที่จะได้ เมื่อปลากินเบ็ดหลังจากที่พ่อของเธอลงมือปักไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ซึ่งเมื่อคืนนี้พ่อของเธอก็ได้ปลาช่อนกลับไปหลายตัวทีเดียว

เนื่องจากอากาศยามเช้ามืดที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกวิสัยทัศน์จึงยังไม่สามารถมองเห็นได้เต็มที่นัก เด็กหญิงตัวน้อยจึงต้องก้าวเดินพลาดพลั้งพลางลื่นไถลจนเกือบตกคันนาอยู่บ่อยครั้ง คงจะเป็นเพราะประสบการณ์การเผชิญโลกภายนอกที่มีอยู่น้อยนิดซึ่งผิดกับผู้เป็นพ่อของเธอที่การเดินก้าวย่างเป็นไปด้วยความมั่นคงชำนาญ แม้สภาพอากาศภายนอกจะไม่อำนวยก็ตามแต่ก็ไม่สามารถสร้างอุปสรรคให้กับแกได้เลย เปรียบดังเช่นชีวิตจริงคนเราที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม การเผชิญกับปัญหาสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยๆจะสามารถทำให้ชีวิต จิตใจของเราสะสมความแข็งแกร่งขึ้นมาเองได้ การพิสูจน์ตนเองที่ดีต้องอาศัยเวลาและการกระทำ ต้องรักที่จะเรียนรู้ ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย แต่มันให้บทเรียนและพิสูจน์ศรัทธาแก่เรา ก้าวเดินต่อไปด้วยการเรียนรู้ อยู่ด้วยการแสวงหา รอยร้าวในใจของนักสู้ไม่ใช่อยู่ที่เคยล้มเหลว แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน ประสบการณ์ถือเป็นบทเรียนให้ก้าวย่างเดินต่อไปด้วยความมั่นคง...


" เอ้าๆ ย่างดีๆอีนาง หัวสักหัวข่วมสิตกคันแทแล้วนั่นหน่ะ ฮ่าๆๆ " เสียงพ่อเธอปลุกกระตุ้นอีกครั้งหลังจากที่มองกลับมาดูเห็นลูกสาวเดินหัวสั่นหัวคลอน การที่เธอยังไม่ได้ล้างหน้าคงจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้การเดินออกจะเป๋อยู่บ้าง

" อีพ่อ...ไกล้ฮอดยัง " เธอเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่เดินเงียบตามหลังพ่อมาเสียนาน

" ไกล้ฮอดแล้วอีนาง อยู่คันแทข่างหน่าหนิ " พ่อเธอบอกพร้อมกับชี้มือฝ่าสายหมอกตรงจุดที่ปักเบ็ด

" เอ๊า...นั่นมันนาลุงเติมบ่แม่ติ " เธอเอ่ยสงสัย

" กะแม่นนั่นหล่ะ พ่อใส่จากนาลุงเติมขึ่นไปหาท่งนาเฮา ลุงเติมเพินบ่หวงดอกอีนาง แถวบ้านเฮานี้บ่มีผู้ได๋หวงกันดอกแนวปลาบ่ได้เลี้ยง แต่ว่าเวลาสิใส่ยามพ้อเจ้าของนาเพินกะต้องบอกเพินนำแนตามมารยาท คนอีสานบ้านเฮากะจั่งซี้หล่ะเพิงพาอาศัยซึ่งกันและกัน ฮักแพงกัน อีนางเองกะจำไว้เด้อใหญ่ไปภายหน้ากะให่ฮู้จักมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนรอบข่าง ถ่าเฮาอยากให่คนอื่นซอยเหลือเฮากะต้องฮู้จักซอยเหลือคนอื่นสาก่อน" ทิดนพบอกลูกสาวตัวน้อยด้วยความเอ็นดู


การเก็บกู้เบ็ดในยามเช้าผ่านไปด้วยความตื่นเต้นสำหรับศิริกัญญานุช เพราะดูเธอจะออกอาการดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเจ้าปลาช่อนตัวใหญ่เข้ามาติดเบ็ดที่พ่อของเธอปักล่อไว้ เมื่อคืนนี้เธออ้อนวอนจะตามออกมากับพ่อแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับโดนผู้เป็นแม่ห้ามปรามไว้เพราะเป็นเวลากลางคืนซึ่งดูจะไม่เหมาะนัก กลัวเธอจะพลาดพลั้งเดินไม่ระวังตกคันนาเอาดื้อๆ แต่เช้านี้ก็คงต้องยอมปล่อยให้เธอตามผู้เป็นพ่ออกมาจนได้หลังจากที่เธอขอร้องไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าต้องปลุกเธอในยามเช้าด้วย การซึมซับวิถีทางการดำเนินชีวิตแบบอย่างของผู้เป็นพ่อ ถูกบันทึกใส่ความทรงจำของเด็กหญิงตัวน้อย ที่เธอพร้อมจะยึดถือนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปเมื่อเติบใหญ่ สายเลือดอีสานเป็นเป็นสายเลือดแห่งนักสู้ที่ทรหด
แต่ศิริกัญญานุชเธอกลับมีมากกว่านั้นอีก เพราะนอกจากเธอจะมีความอดทนเป็นเลิศแล้วเธอยังได้ความโอบอ้อมอารีย์ที่ผู้เป็นพ่อและแม่กำลังปลูกฝังให้กับเธออยู่ในตอนนี้อีกด้วย..